fbpx

🔥FREE! Schedule a 3D Facial Design consultation with Dr.Chanya only this month 🇺🇸 🇰🇷 🔥

สิวสเตียรอยด์ หน้าติดสาร ปัญหาผิวที่ปล่อยไว้ก็มีแต่แย่กับแย่!

สิวสเตียรอยด์ หน้าติดสาร ปัญหาผิวที่ปล่อยไว้ก็มีแต่แย่กับแย่!
สิวสเตียรอยด์ หน้าติดสาร ปัญหาผิวที่ปล่อยไว้ก็มีแต่แย่กับแย่!

สิวสเตียรอยด์ เป็นปัญหาผิวที่หลายคนอาจไม่รู้ตัวว่ากำลังเผชิญอยู่ ยิ่งใช้ครีมหรือยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์นานเท่าไร ผิวยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดสิวชนิดนี้มากขึ้น! 

สิวสเตียรอยด์ไม่เพียงจะทำให้ผิวอักเสบและเกิดรอยแดงเท่านั้น แต่ยังสร้างความเสียหายให้กับผิวในระยะยาวได้อีกด้วย การรู้เท่าทันถึงต้นตอสาเหตุและวิธีป้องกันที่ถูกต้องจะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาผิวให้กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม 

Better Me Clinic จะพาทุกคนมาเจาะลึกเรื่องราวเกี่ยวกับสิวสเตียรอยด์กันว่าคืออะไร? มีสาเหตุมาจากอะไร? มีวิธีป้องกันและรักษาสิวสเตียรอยด์อย่างไรบ้าง? ถ้าพร้อมแล้วก็มาหาคำตอบไปพร้อมกันที่บทความนี้เลย!

สิวสเตียรอยด์ คืออะไร?

สิวสเตียรอยด์ (Steroid Acne) หรือสิวติดสาร ไม่ใช่ปัญหาสิวทั่วไปอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นโรคทางผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดจากการแพ้สารสเตียรอยด์ ใช้สเตียรอยด์เกินขนาด และใช้สเตียรอยด์ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานเกินไป ทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคืองและอักเสบ คล้ายกับลักษณะของสิวทั่วไป

สิวสเตียรอยด์มีลักษณะอาการอย่างไร?

สิวสเตียรอยด์มีลักษณะอาการคล้ายกับโรคผิวหนัง โดยจะปรากฏเป็นผื่นแดงที่มีลักษณะคล้ายสิว (Acneiform Eruption) ขึ้นเป็นปื้น ๆ เหมือนกับมีอาการแพ้ นอกจากนี้ ยังสามารถพบปัญหาผิวอื่น ๆ เช่น สิวอักเสบ, ตุ่มแดง หรือตุ่มหนองร่วมด้วยได้เช่นกัน

โดยผลข้างเคียงจากการใช้สารสเตียรอยด์อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของยาที่ใช้ ซึ่งอาการที่พบได้บ่อยสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ๆ ดังนี้

  • สิวแท้ (Acne Vulgaris) คือ สิวที่เกิดการจากการอุดตันของรูขุมขน โดยสิวแท้มักจะสัมพันธ์กับระดับฮอร์โมนและความผิดปกติของต่อมไร้ท่อเป็นหลัก นอกจากนี้สิวแท้ยังสามารถเกิดได้จากการใช้สเตียรอยด์ตามใบสั่งแพทย์ เช่น เพรดนิโซโลน (Prednisolone) ที่ใช้ในการรักษาโรคทางภูมิคุ้มกัน โรคหอบหืด และโรคเกี่ยวกับข้อต่อ
  • รูขุมขนอักเสบจากเชื้อรา หรือ สิวเชื้อรา (Malassezia Folliculitis) เกิดจากการที่สารสเตียรอยด์ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันที่ผิวหนังเสียสมดุลและเกิดการติดเชื้อราในรูขุมขน โดยสิวประเภทนี้สามารถเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติหรืออาจเกิดจากการใช้สเตียรอยด์ชนิดรับประทานและฉีดเข้าเส้น เช่นเดียวกับสิวประเภทอื่น ๆ
  • ภาวะโรซาเซียจากสเตียรอยด์ (Steroid-Induced Rosacea) เป็นภาวะที่ทำให้ผิวหนังมีผื่นแดงเรื้อรัง สามารถมองเห็นเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังได้ชัดเจนและอาจมีตุ่มนูนแดงคล้ายสิวปรากฏขึ้น ในบางกรณี อาจมีอาการผิวแห้งลอกร่วมด้วย โดยภาวะนี้มักเกิดจากการใช้สเตียรอยด์เป็นเวลานานจนทำให้ผิวหนังเสียสมดุล ส่งผลให้เชื้อไรรูขุมขนที่เรียกว่า Demodex เจริญเติบโตมากเกินไป

 

สิวสเตียรอยด์เกิดจากอะไร?

สิวสเตียรอยด์ เกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์เป็นระยะเวลานาน ซึ่งอาจรวมถึงการใช้ครีม ยาทาเฉพาะที่ ยารับประทาน และยาพ่นที่มีสารสเตียรอยด์ การใช้สเตียรอยด์อย่างต่อเนื่องหรือใช้ในปริมาณที่มากเกินกว่ากำหนด อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ ตามมาได้ ดังนี้

  • การอุดตันของรูขุมขน สเตียรอยด์สามารถกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้นได้ ซึ่งจะทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนและเกิดสิวอุดตันได้ง่าย
  • การเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง การใช้สเตียรอยด์เป็นระยะเวลานาน อาจทำให้ผิวหนังบางลงและเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือระคายเคืองได้ง่ายขึ้น ผิวจึงมีความอ่อนไหวต่อการเกิดสิวหรือผื่นได้ง่ายกว่าเดิม
  • การลดลงของระบบภูมิคุ้มกันผิวหนัง สเตียรอยด์มีผลในการกดระบบภูมิคุ้มกันของผิว ทำให้ผิวไวต่อการติดเชื้อและเกิดสิวได้ง่าย
  • การอักเสบ สเตียรอยด์อาจทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบเมื่อหยุดใช้ทันที ซึ่งสามารถทำให้เกิดสิวที่รุนแรงขึ้นได้

สิวสเตียรอยด์รักษาอย่างไรได้บ้าง?

การรักษาสิวสเตียรอยด์ จำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังและควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนังเพื่อลดอาการและป้องกันไม่ให้สิวลุกลาม โดยวิธีรักษาสิวสเตียรอยด์ที่ Better Me Clinic แนะนำ มีดังนี้

  • หยุดใช้สเตียรอยด์อย่างค่อยเป็นค่อยไป ก่อนตัดสินใจหยุดใช้สเตียรอยด์ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาพผิวและโรคที่เป็นอยู่ เพื่อให้แพทย์ประเมินความจำเป็นในการใช้สเตียรอยด์และปรับชนิดของยา ความเข้มข้น รวมถึงระยะเวลาในการใช้ที่เหมาะสม
  • ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง การพบแพทย์ผิวหนังจะช่วยให้ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและได้รับคำแนะนำในการรักษาที่เหมาะสม โดยแพทย์อาจจ่ายยาเพื่อลดการอักเสบและยาต้านฮีสตามีนเพื่อลดอาการคันและระคายเคืองให้ นอกจากนี้แพทย์ยังอาจจ่ายยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาสิวอักเสบที่ติดเชื้อแบคทีเรียให้ในบางกรณี
  • ดูแลผิวอย่างถูกวิธี ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารเคมีรุนแรง เช่น โฟมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของน้ำหอม สี หรือสารกันเสีย หลีกเลี่ยงการขัดหรือถูผิวที่แรงเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองและสิวลุกลามได้ นอกจากนี้ก็ควรเลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่อ่อนโยนและช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวด้วย

นอกจากวิธีที่กล่าวไปข้างต้น การให้ความสำคัญกับการล้างมือและหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดการลุกลามของสิวรวมถึงช่วยป้องกันการติดเชื้อได้

วิธีป้องกันการเกิดสิวสเตียรอยด์

วิธีป้องกันการเกิดสิวสเตียรอยด์ที่ดีที่สุด คือ หลีกเลี่ยงการใช้สเตียรอยด์ในระยะยาวหรือในปริมาณที่มากเกินไป นอกจากนี้ การหมั่นดูแลทำความสะอาดผิวหน้าอยู่เสมอ ลดการใช้เครื่องสำอางที่เสี่ยงเกิดการอุดตันของรูขุมขน รวมถึงการทำหัตถการเพื่อบำรุงผิวให้แข็งแรง ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้ห่างไกลจากการเกิดสิวได้ โดยหัตถการที่ Better Me Clinic แนะนำ มีดังนี้

1. เมโสหน้าใส (Mesotherapy)

การฉีดเมโสหน้าใส คือ การใช้เข็มฉีดวิตามินหรือสารสกัดต่าง ๆ ที่มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาผิวฉีดลงไปในผิวชั้นกลาง เพื่อเร่งให้เกิดกระบวนการผลัดเซลล์ผิวและซ่อมแซมผิวจากมลภาวะ  รวมถึงยังช่วยทำให้ผิวแข็งแรง มีผิวสัมผัสที่เรียบเนียนขึ้นด้วย โดยตัวยาเมโสที่ Better Me Clinic แนะนำ ได้แก่

  • มาเด้คอลลาเจน (Made Collagen) เป็นการฉีดตัวยาที่มีส่วนผสมของวิตามิน แร่ธาตุ เอนไซม์ พลาเซนต้า และคอลลาเจน ร่วมกับการใช้หลัก “โฮมีโอพาธีย์” (Homeopathy) ซึ่งเป็นศาสตร์การแพทย์ทางเลือกชนิดหนึ่งที่ช่วยขับของเสียที่ตกค้างอยู่ใต้ผิวออกมา ปรับสมดุลให้ผิว และทำให้ผิวกระจ่างใสมากขึ้น

  • เมโสชาแนล (Meso Chanel) เป็นสารสกัดกลุ่มไฮยาลูรอนิกแอซิดโมเลกุลเดี่ยว ที่ผสมผสานกับสารสกัดบำรุงผิวต่าง ๆ จึงสามารถซึมลึกเข้าสู่ผิวได้โดยไม่ทำให้เกิดการอุดตันที่เส้นเลือด มีส่วนช่วยบำรุงให้ผิวแข็งแรงและกระจ่างใสมากขึ้น

  • เอ็กโซโซม (Exosome) เป็นกระบวนการฉีดเมโสรูปแบบหนึ่งที่พัฒนาจากการฉีดสเต็มเซลล์ ช่วยบำรุงให้ผิวหน้าดูกระจ่างใส ฉ่ำวาว ชะลอการเสื่อมสภาพของผิว รวมถึงช่วยกระตุ้นการสร้างผิวใหม่

  • รีจูรัน (Rejuran) เป็นการฉีดวิตามินและสารสกัดต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ต่อผิว โดยมีสารสกัดเด่นอย่างสารพอลินิวคลีโอไทด์ (Polynucleotide) ซึ่งสกัดมาจากดีเอ็นเอของปลาแซลมอนที่มีความคล้ายคลึงกับดีเอ็นเอของมนุษย์มาก เมื่อฉีดเข้าไปแล้วจึงจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน อีลาสติน เส้นใยไฟโบรบลาสต์ และกรดไฮยาลูรอนิค ทำให้ผิวกลับมากระจ่างใสและอิ่มฟูขึ้นอีกครั้ง

  • Sculptra เป็นการฉีดสาร Poly L Lactic Acid (PLLA) หรือไหมน้ำ เป็นสารอุ้มน้ำที่มีความเข้ากันได้กับเนื้อเยื่อในร่างกายและสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ เมื่อฉีดเข้าไปแล้ว ตัวยาจะไปกระตุ้นการเพิ่มเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ซึ่งมีหน้าที่ในการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้หลังฉีดผิวจึงดูอิ่มฟู ยกกระชับ และดูกระจ่างใสมากขึ้น

2. ทำทรีตเมนต์ผิวหน้า

การทำทรีตเมนต์ผิวหน้า คือ การเติมสารอาหารให้กับผิวหน้าโดยตรงผ่านเทคนิคต่าง ๆ ซึ่งการทำทรีตเมนต์หน้าแต่ละครั้งมักประกอบไปด้วยหลายขั้นตอน ในแต่ละครั้งสามารถเลือกดูแลปัญหาผิวด้านเดียว หรือหลายด้านไปพร้อม ๆ กันได้โดยไม่รบกวนสมดุลผิว

หากกำลังประสบปัญหาสิว Better Me Clinic ขอแนะนำ Acne Treatment ทรีตเมนต์ที่มีส่วนผสมของ Tree Tea Oil ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยลดการอักเสบและการเห่อของสิว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาสิวอักเสบและสิวอุดตันอย่างเห็นผล ขณะทำจะช่วยให้ผิวได้รับการทำความสะอาดอย่างล้ำลึก ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด และทำให้ผิวผ่อนคลายขึ้น

ปรึกษาหมอชัญญาโดยตรง
ปรึกษาหมอชัญญาโดยตรง

3. ฉีดฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ (Filler) เป็นการฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยารูลอนิกเข้าไปเติมเต็มบริเวณผิวที่เกิดเป็นร่องลึก ซึ่งสารไฮยารูลอนิกมีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำได้ดี ทำให้บริเวณที่ฉีดเข้าไปนอกจากจะเติมเต็มร่องลึกได้แล้ว ยังทำให้ผิวบริเวณนั้นดูอิ่มน้ำ สุขภาพดี และกระจ่างใสขึ้น นอกจากนี้ ปัจจุบันยังมีการผลิตฟิลเลอร์ Belotero Revive ออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาผิวที่ไม่แข็งแรง ใบหน้าหมองคล้ำ และผิวไม่อิ่มน้ำโดยเฉพาะด้วย

4. ผลัดเซลล์ผิว

การผลัดเซลล์ผิว (Peeling) คือ การเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกออกไปได้ง่ายขึ้น โดยการผลัดเซลล์ผิวที่ Better Me Clinic มีให้เลือกถึง 4 สูตร ได้แก่

  • Baby Peeling เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวละเอียด ดูอ่อนเยาว์ และกระจ่างใสขึ้น
  • Acne Peeling เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิว สามารถช่วยลดอาการสิวอักเสบ ฆ่าเชื้อสิว และช่วยให้สิวแห้งไวยิ่งขึ้น
  • Scar Peeling เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารอยแดง รอยดำ และรอยแผลเป็นจากสิว โดยสูตรนี้จะช่วยให้รอยต่าง ๆ จางไวขึ้น
  • Poreless Peeling เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง สูตรนี้จะช่วยกระชับรูขุมขน ลดความมันของผิวหน้า อีกทั้งยังช่วยลดโอกาสการเกิดสิวได้

คำถามที่พบบ่อย

1. สิวสเตียรอยด์หายเองได้ไหม?

สิวสเตียรอยด์อาจหายเองได้ ในกรณีที่อาการไม่รุนแรงมาก และหยุดใช้สเตียรอยด์ตั้งแต่เริ่มสังเกตเห็นอาการผิดปกติ โดยสิวจะค่อย ๆ ลดลงและหายไปเอง แต่ยังคงต้องอาศัยระยะเวลาพอสมควร

ในขณะที่ผู้ที่มีอาการรุนแรงหรือมีการใช้สเตียรอยด์เป็นระยะเวลานาน อาจต้องอาศัยการรักษาจากแพทย์ผิวหนังเพื่อช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น นอกจากนี้ การเข้ารับการรักษาจากแพทย์ผิวหนังโดยตรงจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ และสามารถป้องกันการเกิดสิวสเตียรอยด์ขึ้นซ้ำได้อีกด้วย

2. รับประทานยารักษาสิวอุดตัน

การผลัดเซลล์ผิว (Peeling) คือ การเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกออกไปได้ง่ายขึ้น โดยการผลัดเซลล์ผิวที่ Better Me Clinic มีให้เลือกถึง 4 สูตร ได้แก่

  • Baby Peeling เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวละเอียด ดูอ่อนเยาว์ และกระจ่างใสขึ้น
  • Acne Peeling เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิว สามารถช่วยลดอาการสิวอักเสบ ฆ่าเชื้อสิว และช่วยให้สิวแห้งไวยิ่งขึ้น
  • Scar Peeling เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารอยแดง รอยดำ และรอยแผลเป็นจากสิว โดยสูตรนี้จะช่วยให้รอยต่าง ๆ จางไวขึ้น
  • Poreless Peeling เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง สูตรนี้จะช่วยกระชับรูขุมขน ลดความมันของผิวหน้า อีกทั้งยังช่วยลดโอกาสการเกิดสิวได้

2. สิวสเตียรอยด์กดได้หรือไม่?

การกดสิวสเตียรอยด์เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เนื่องจากช่วงที่เกิดสิวสเตียรอยด์ผิวหนังจะอ่อนแอและบอบบางกว่าปกติ การกดสิวอาจทำให้ผิวบอบช้ำได้ง่ายและเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ ซึ่งจะทำให้มีอาการอักเสบเพิ่มขึ้นและทำให้สิวแย่ลง นอกจากนี้ ในบางกรณีอาจเกิดรอยแผลเป็นหรือจุดด่างดำจากการกดสิว ซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลานานในการฟื้นฟูให้ผิวกลับมาดีขึ้น

3. สิวสเตียรอยด์ใช้ระยะเวลากี่เดือนถึงจะหาย

ระยะเวลาในการรักษาสิวสเตียรอยด์ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงของอาการ ระยะเวลาที่ใช้สเตียรอยด์ ชนิดของสเตียรอยด์ที่ใช้ รวมถึงวิธีการรักษาก็ทำให้ระยะเวลาในการรักษาสิวสเตียรอยด์แตกต่างกันไปด้วย 

โดยทั่วไปแล้ว การรักษาสิวสเตียรอยด์อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน ในบางรายอาจใช้เวลานานกว่านั้น หลังหยุดการใช้สเตียรอยด์ อาการจะเริ่มดีขึ้นภายใน 4-6 สัปดาห์ ก่อนจะค่อย ๆ ดีขึ้นใน 2-3 เดือน แต่ถ้าหากมีการใช้ยา เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์, กรดซาลิไซลิก หรือรับประทานยาปฏิชีวนะ อาจใช้เวลา 6-8 สัปดาห์หรือมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับการตอบสนองของผิว

รักษาสิวสเตียรอยด์ที่ไหนดี?

โดยปกติแล้ว สิวสเตียรอยด์อาจหายเองได้ในผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงมาก แต่สำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรง อาจต้องอาศัยการรักษาจากแพทย์ร่วมด้วย ดังนั้น การพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการวินิจฉัยและคำแนะนำในการรักษาที่เหมาะสมจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพื่อฟื้นฟูผิวให้กลับมาเรียบเนียนและป้องกันไม่ให้เกิดสิวสเตียรอยด์ซ้ำ

หากคุณเป็นหนึ่งคนที่ต้องการรักษาสิวสเตียรอยด์ ให้ Better Me Clinic by Dr. Chanya เป็นหนึ่งในผู้ช่วยของคุณ เพราะเรามีบริการรักษาสิวให้เลือกอย่างหลากหลาย ทุกบริการดูแลโดยแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น

หากยังไม่มั่นใจว่าควรเลือกรักษาสิวสเตียรอยด์ด้วยวิธีใด สามารถติดต่อเข้ามาที่ Better Me Clinic เพื่อให้คุณหมอประเมินสภาพผิวและแนะนำหัตถการที่เหมาะสมแบบเคสบายเคสได้เลย ติดต่อนัดหมายได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-059-8118, 088-603-2641 หรือไลน์ @bettermeclinic ปรึกษาคุณหมอฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย รับรองว่าคุณจะมีผิวสวย ๆ กลับบ้านไปอย่างแน่นอน

  • Healthline, Treating Steroid Acne (https://www.healthline.com/health/steroid-acne), 16 Aug 2024.
  • Bioderma, หน้าติดสารสเตียรอยด์ แพ้ครีม รักษาอย่างไรดี? (https://www.eucerin.co.th/skin-concerns/sensitive-skin/steroid-acne), 16 สิงหาคม 2567.
  • Eucerin, สิวสเตียรอยด์ คืออะไร หน้าติดสารสเตียรอยด์มีวิธีการดูแลรักษาอย่างไร (https://www.eucerin.co.th/skin-concerns/sensitive-skin/steroid-acne), 16 สิงหาคม 2567.

เว็บไซต์นี้ มีการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ (Cookies) เพื่อมอบบริการที่ดีที่สุดสำหรับคุณ