“สิวอักเสบ” ปัญหาผิว สิวซ้ำซาก รักษายังไงให้อยู่หมัด!
“สิวอักเสบ” ปัญหาสิวกวนใจที่ใครๆ ก็ต้องเคยเจอ เมื่อเป็นแล้วใช่เพียงแต่จะสร้างความเจ็บปวดเมื่อสัมผัสเท่านั้น แต่ยังสร้างความรำคาญและบั่นทอนความมั่นใจอีกด้วย
บางรายอาจมองว่าสิวอักเสบมีต้นเหตุมาจากความสกปรก แต่แท้จริงแล้วสิวอักเสบเป็นโรคทางผิวหนังชนิดหนึ่งที่สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทำให้วิธีการรักษาสิวอักเสบนั้นแตกต่างกันไปตามต้นตอของปัญหา หากรักษาผิดวิธีก็อาจทำให้เกิดปัญหาสิวอักเสบซ้ำซากได้
วันนี้ Better Me Clinic จะพาทุกคนมาเจาะลึกถึงปัญหาสิวอักเสบ ตั้งแต่สาเหตุของการเกิดสิวชนิดนี้ การเลือกใช้สกินแคร์ที่เหมาะสมกับผิว ไปจนกระทั่งวิธีการรักษาสิวอักเสบให้หายขาด หากคุณเป็นหนึ่งคนที่กำลังประสบปัญหาผิวแบบนี้อยู่ อย่าพลาดที่จะอ่านบทความนี้!
สิวอักเสบคืออะไร? มีลักษณะเป็นอย่างไร?
สิวอักเสบ (Inflammatory Ance) คือ โรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดตุ่มบวมเป็นก้อนบริเวณผิวหนัง โดยสิวอักเสบมักจะเกิดขึ้นจากการที่เป็นสิวอุดตันอยู่ก่อน และบริเวณนั้นถูกเชื้อแบคทีเรียเข้าไปเจือปนอยู่บริเวณรูขุมขน
เมื่อร่างกายทราบว่ามีสิ่งแปลกปลอมบุกรุกเข้ามา ระบบภูมิคุ้มกันจะพยายามต่อสู้กับแบคทีเรีย ทำให้ผิวในส่วนนั้นเกิดการระคายเคืองและอักเสบขึ้น
สิวอักเสบนั้นสามารถพบได้ 2 ลักษณะหลักๆ คือ สิวอักเสบชนิดไม่มีหัว และสิวอักเสบมีหัว
สำหรับสิวอักเสบชนิดไม่มีหัว จะมีลักษณะเหมือนผิวบริเวณนั้นแต่มีความนูนสูงขึ้นกว่าปกติ เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเจ็บ หากรบกวนผิวบริเวณนั้นบ่อยๆ เช่น การกด บีบเค้น ก็อาจทำให้สิวบริเวณนั้นเกิดการอักเสบ และบวมมากขึ้น
ในขณะที่สิวอักเสบชนิดมีหัว จะมีลักษณะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหาผิวในขณะนั้น เริ่มจากการเป็นเพียงสิวหัวดำ สิวหัวขาว หรือสิวผดเล็กๆ ก่อนจะค่อยๆ พัฒนาไปเป็นตุ่มหนองที่มีฐานสีแดง หากรุนแรงขึ้นอาจมีสิวลักษณะนี้ในขนาดที่ใหญ่ขึ้นทั่วใบหน้า และสามารถสร้างความเจ็บปวดให้ผิวได้แม้ไม่ใช้มือสัมผัส
สิวอักเสบเกิดจากอะไร?
สิวอักเสบเกิดจากการที่มีเชื้อแบคทีเรียเข้าไปในบริเวณที่เกิดสิวอุดตันอยู่ จนทำให้ระบบภูมิคุ้มกันต้องพยายามต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอม โดยปัจจัยเหล่านี้เองที่เป็นหนึ่งในตัวกระตุ้นให้ผิวหน้าเกิดเชื้อแบคทีเรียและการอุดตัน
1. ฮอร์โมน
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนนับเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสิวอักเสบได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นวัยที่ระดับฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ฮอร์โมนนี้จะเข้าไปกระตุ้นการผลิตน้ำมันหรือซีบัม (Sebum) ให้ออกมาทางรูขุมขนมากขึ้น ก่อให้เกิดแบคทีเรียบริเวณใบหน้า ส่งผลให้เกิดเป็นสิวอุดตัน และถูกรบกวนจนกลายมาเป็นสิวอักเสบต่อไป
สิวอักเสบที่เกิดจากสาเหตุนี้ มักจะถูกเรียกว่า “สิวฮอร์โมน” โดยจะเกิดในระยะเวลาเดิมๆ ซ้ำๆ เป็นประจำ เช่น สิวประจำเดือน ที่มักเกิดขึ้นก่อนหรือหลังมีประจำเดือน รวมไปถึงสิวที่เกิดจากความเครียดสะสม และสิวที่เกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ
ซึ่งนอกจากสิวชนิดนี้จะแสดงให้เห็นถึงปัญหาผิวแล้ว ยังเป็นการสื่ออีกนัยจากร่างกายด้วยว่าเรามีฮอร์โมนที่ไม่สมดุล ควรที่จะต้องรีบดูแลร่างกายอย่างด่วนที่สุด!
2. พันธุกรรม
นอกจากการถ่ายทอดสีของดวงตา ลักยิ้ม หรือแม้กระทั่งลักษณะของเส้นผมแล้ว ลักษณะของผิวหน้าก็เกิดจากการถ่ายทอดของพันธุกรรมเช่นเดียวกัน
ในบางครอบครัวอาจมีความบกพร่องในการผลิตซีบัม ทำให้รูขุมขนอุดตันจนกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรีย นำไปสู่การเป็นสิวอักเสบได้ ดังนั้นการเกิดสิวอักเสบจากพันธุกรรมจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก แต่สามารถรักษาให้หายได้หากได้รับคำแนะนำจากแพทย์อย่างถูกต้อง
3. การบีบสิว
การบีบสิว กดสิว หรือการทำกระบวนการใดก็ตามที่พยายามจะเค้นสิวให้ออกมา หากทำอย่างไม่ถูกต้อง นอกจากจะไม่ช่วยให้สิวหายดีแล้ว อาจเป็นหนึ่งในการกระตุ้นให้รูขุมขนบริเวณนั้นบาดเจ็บและนำไปสู่การเกิดสิวอักเสบได้ ดังนั้นหากต้องการบีบสิว กดสิว ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและทำหัตถการกับผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
4. สภาพแวดล้อม
สภาพแวดล้อมเป็นหนึ่งในปัญหาที่ทำให้เกิดสิวได้ ไม่ว่าจะเป็นมลพิษทางอากาศ ที่มาในรูปแบบของไอเสียจากยานพาหนะ มลพิษทางน้ำ ที่มาในรูปแบบของน้ำประปาที่ไม่สะอาด รวมถึงแสงแดดจ้า ก็มีผลต่อการเกิดสิวได้เช่นกัน
โดยเฉพาะในผู้ที่ใช้ยารักษาสิวอยู่ ควรหลีกเลี่ยงการออกไปปะทะกับแสงแดดโดยตรง เพราะรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ที่อยู่ในแสงแดดจะไปกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) ทำให้ผิวเกิดการอักเสบได้
นอกจากนี้การโดนแสงแดดยังทำให้เกิดเหงื่อ ซึ่งนำมาสู่การเกิดปัญหาสิวผดด้วย หากดูแลไม่ดีก็อาจทำให้เกิดปัญหาสิวอื่นๆ ตามมา
5. เครื่องสำอาง
การใช้เครื่องสำอางเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดสิวได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน หรือเลือกใช้เครื่องสำอางให้น้อยที่สุด หากจำเป็นต้องใช้ก็ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมัน เพราะอาจทำให้เกิดการอุดตันและนำมาสู่การเกิดสิวอักเสบได้
6. การใช้ยาบางชนิด
การใช้ยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงที่ทำให้ระคายเคืองผิวและนำไปสู่การอักเสบได้ เช่น วิตามินบี 6, วิตามินบี 12, Anabolic Steroids, Corticosteroids, Corticotropin และ Phenytoin เป็นต้น
สิวอักเสบมีกี่ประเภท?
สิวอักเสบ สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภทตามขนาดของตุ่มสิวและความรุนแรงของอาการอักเสบ โดยในระยะที่สิวอุดตันยังไม่อักเสบ สิวมักจะอยู่ในรูปแบบของสิวหัวดำและสิวหัวขาว ก่อนจะกลายเป็นสิวชนิดต่างๆ ดังนี้
- สิวอักเสบชนิดตุ่มนูนแดง (Papule) เป็นสิวอักเสบในระยะแรกที่เปลี่ยนจากสิวอุดตัน มีลักษณะเป็นตุ่มแดงกลมขนาดไม่เกิน 0.5 ซม. สิวชนิดนี้จะยังไม่มีหัวหรือหนอง อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยเมื่อสัมผัส
- สิวอักเสบหัวหนอง (Pustule) ลักษณะคล้ายตุ่มนูนแดงแต่บริเวณตรงกลางของสิวจะมีสีขาวเหลืองของหนอง อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยเมื่อสัมผัส เป็นระยะต่อมาจากสิวอักเสบชนิดตุ่มนูนแดง เนื่องจากมีการติดเชื้อเป็นเวลานานกว่า
- สิวอักเสบแดงเป็นก้อนลึก หรือสิวหัวช้าง (Nodule) เกิดจากการอักเสบอย่างรุนแรงในผิวหนังชั้นลึก ทำให้สิวชนิดนี้ไม่มีหัวหรือหนองที่สังเกตเห็นได้เหมือนสิวอื่นๆ แต่เมื่อสัมผัสแล้วจะรู้สึกปวดมาก ไม่สามารถรักษาด้วยการกดสิวได้เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้น
สกินแคร์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นสิวอักเสบ
สำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวอักเสบเล็กน้อยถึงปานกลาง การเลือกสกินแคร์ที่เหมาะสมอาจช่วยกอบกู้ผิวไว้ได้ทัน โดยการเลือกสกินแคร์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นสิวอักเสบ ควรดูจากส่วนผสมต่างๆ ดังนี้
- กรดอัลฟาไฮดรอกซี (Alpha Hydroxy Acids) หรือ AHA เป็นกรดอ่อนๆ จากผลไม้ เมื่อใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมนี้ จะช่วยให้ผิวหน้าได้รับการผลัดเซลล์ผิว ลดปัญการเกิดสิวอุดตัน รวมทั้งทำให้รอยดำบนใบหน้าจางลงด้วย
- กรดเบต้าไฮดรอกซี (Beta Hydroxy Acid) หรือ BHA หรือ กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) เป็นกรดที่มีคุณสมบัติในการละลายน้ำมัน ช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าๆ รวมทั้งลดการระคายเคือง ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของการอักเสบได้ ผู้ที่กังวลเรื่องผิวหน้ามันกรด BHA อาจตอบโจทย์ของคุณได้
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดสิวอุดตัน (Non-Comedogenic) ผลิตภัณฑ์ที่มีคำนี้บนฉลากมักเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดความมันบนใบหน้า มีเนื้อสัมผัสเบา เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย
รวมวิธีรักษาสิวอักเสบ
นอกจากการเลือกสกินแคร์ต่างๆ ให้เหมาะกับสภาพผิวในช่วงที่เป็นสิวอักเสบแล้ว เราสามารถรักษาสิวได้ด้วย 3 วิธีหลักๆ ดังนี้
1. การรักษาด้วยยาใช้ภายนอก
วิธีนี้เป็นวิธีแรกๆ ที่คนมักจะนึกถึงเมื่อเป็นสิวอักเสบ เพราะเป็นวิธีที่ง่ายและมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการรับประทานยารักษาสิวอักเสบ
โดยวิธีนี้จะนำยาที่มีส่วนประกอบในการฆ่าเชื้อสิวมาใช้รักษา ถึงแม้จะเป็นวิธีที่ง่ายแต่ก็ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และเภสัชกร โดยยาใช้ภายนอกที่มักนำมาใช้ในการรักษาสิวอักเสบ ได้แก่
- ยากลุ่มเบนโซลอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อและลดจำนวนแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวอักเสบ นอกจากนี้ยังช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดปริมาณไขมันบนผิวหนังได้ด้วย
- ยากลุ่มเรตินอยด์ (Retinoid) เป็นอนุพันธ์ของกรดวิตามินเอ ที่สามารถใช้กับสิวได้ทุกระยะ รวมทั้งยังมีคุณสมบัติในการลดการอุดตันของรูขุมขน ลดการบวมและลดการอักเสบได้ แต่ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานเพราะอาจทำให้ผิวบางลงและรู้สึกแสบเมื่อต้องโดนแดดได้
- ยาที่มีส่วนผสมของกรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid) เป็นกรดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ สามารถลดการอักเสบ ลดการอุดตันของรูขุมขน รวมถึงช่วยลดรอยดำหลังเกิดสิวได้
- ยาทาปฏิชีวนะ หรือ ยาฆ่าเชื้อ (Topical Antibiotics) มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดการอักเสบ และลดรอยแดง แต่ไม่ควรใช้ยาชนิดนี้ตัวเดียวในการรักษา เพราะแบคทีเรียจะดื้อยาได้รวดเร็ว ควรใช้ร่วมกับยาชนิดอื่นๆ ที่กล่าวไปก่อนหน้านี้
2. การรับประทานยารักษาสิวอักเสบ
- การฉีดสิว (Acne Injection) เป็นการใช้ยาหรือสารลดการอักเสบฉีดลงไปที่ตุ่มสิว ทำให้สิวยุบตัวลง นิยมใช้ในการรักษาสิวอักเสบชนิดไม่มีหัวที่มีแนวโน้มว่าสิวจะมีอาการบวมมากขึ้นเรื่อยๆ สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ภายใน 2-3 วัน
- การผลัดเซลล์ผิว (Peeling) หรือกระบวนการเร่งให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วโดยใช้สารเคมี วิธีนี้จะช่วยให้รูขุมขนไม่อุดตัน อีกทั้งยังลดการอักเสบและกระตุ้นให้ผิวเกิดการซ่อมแซมตนเองอีกด้วย ที่ Better Me Clinic เรามีการผลัดเซลล์ผิวด้วยสูตร Acne Peeling สูตรนี้สามารถรักษาปัญหาสิวได้อย่างครอบคลุม ช่วยฆ่าเชื้อสิว และทำให้สิวหายไวขึ้นอีกด้วย
- การทำทรีตเมนต์ คือ การเติมสารอาหารให้กับผิวหน้าโดยตรงผ่านเทคนิคต่างๆ ซึ่งหากใครกำลังเจอกับปัญหาสิว Better Me Clinic ขอแนะนำ Acne Treatment ทรีตเมนต์ที่มีส่วนผสมของ Tree Tea Oil ที่ช่วยลดการอักเสบและการเห่อของสิว สามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำได้อย่างชัดเจน
- ทรีคเมนต์
- การฉีดมาเด้คอลลาเจน คือ โปรแกรมเมโสชนิดหนึ่ง ที่เน้นการฉีดตัวยาที่มีส่วนผสมของวิตามิน แร่ธาตุ คอลลาเจนเข้าไปที่ชั้นผิว มีคุณสมบัติสำคัญในการขับสารพิษและของเสียออก รวมทั้งกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวเรื้อรัง
3. การรักษาสิวอักเสบทางการแพทย์
สภาพแวดล้อมเป็นหนึ่งในปัญหาที่ทำให้เกิดสิวได้ ไม่ว่าจะเป็นมลพิษทางอากาศ ที่มาในรูปแบบของไอเสียจากยานพาหนะ มลพิษทางน้ำ ที่มาในรูปแบบของน้ำประปาที่ไม่สะอาด รวมถึงแสงแดดจ้า ก็มีผลต่อการเกิดสิวได้เช่นกัน
โดยเฉพาะในผู้ที่ใช้ยารักษาสิวอยู่ ควรหลีกเลี่ยงการออกไปปะทะกับแสงแดดโดยตรง เพราะรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ที่อยู่ในแสงแดดจะไปกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) ทำให้ผิวเกิดการอักเสบได้
นอกจากนี้การโดนแสงแดดยังทำให้เกิดเหงื่อ ซึ่งนำมาสู่การเกิดปัญหาสิวผดด้วย หากดูแลไม่ดีก็อาจทำให้เกิดปัญหาสิวอื่นๆ ตามมา
สิวอักเสบกี่วันหาย?
ระยะเวลาที่จะทำให้สิวอักเสบหายดีนั้นแตกต่างกันไปตามความรุนแรงของการอักเสบ ถ้าเป็นสิวอักเสบตุ่มแดงอาจใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน แต่ถ้าหากเป็นสิวหัวช้างที่มีการอักเสบในผิวชั้นลึกอาจใช้เวลาร่วม 4-6 สัปดาห์ถึงจะหายดี ทั้งนี้หากเข้าพบแพทย์และได้รับการรักษาที่ถูกวิธีก็จะทำให้สิวอักเสบหายได้เร็วขึ้น
ทำไมจึงไม่ควรบีบสิวอักเสบด้วยตัวเอง?
เมื่อเป็นสิวอักเสบแล้วเริ่มเข้าสู่การเป็นสิวหัวหนอง หลายๆ คนคงคันไม้คันมืออยากจะบีบสิวให้รู้แล้วรู้รอด แต่รู้หรือไม่ว่านั่นคือสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งเพราะอาจทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ได้
- เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นสิวหัวช้าง เนื่องจากผิวในขณะที่เป็นสิวอักเสบมีความบอบบางเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้ผิวบริเวณรอบๆ จะถูกทำลายจนมีลักษณะคล้ายโพรง การบีบสิวอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียที่อยู่บนผิวชั้นบนลงสู่ชั้นผิวที่ลึก นำไปสู่การเกิดสิวอักเสบแดงก้อนลึกหรือสิวหัวช้าง ที่รักษาหายได้ยากได้
- ทำให้เกิดปัญหาสิวอักเสบซ้ำซาก หลายๆ คนที่บีบสิวด้วยตัวเอง ปัญหาที่ตามมาคือมักจะเกิดปัญหาสิวอักเสบซ้ำบริเวณเดิม เนื่องจากในขณะบีบสิวไม่สามารถนำเชื้อแบคทีเรียออกมาได้หมด รวมทั้งการบีบเค้นบริเวณที่เป็นสิวจะทำให้ผิวบริเวณนั้นอ่อนแอลง ซึ่งง่ายต่อการเกิดสิวนั่นเอง
- ทำให้เกิดรอยสิวและหลุมสิวได้ การบีบเค้นจะทำให้ผิวบริเวณนั้นบาดเจ็บจนทิ้งรอยแดงเอาไว้ รวมทั้งโครงสร้างของผิวในขณะที่เป็นสิวเองก็มีความอ่อนไหวมาก หากบีบสิวอย่างไม่ถูกต้องก็อาจทำให้เกิดหลุมสิวลักษณะขรุขระคล้ายผิวดวงจันทร์ได้
ดูแลตัวเองอย่างไรเพื่อลดปัญหาสิวอักเสบซ้ำซาก?
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่เกิดสิว การแคะ แกะ เกา บีบเค้น รวมถึงการสัมผัสบริเวณสิวล้วนเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้สิวเกิดการอักเสบทั้งสิ้น หากหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ ได้ ก็จะช่วยลดโอกาสในการเกิดสิวอักเสบได้เช่นกัน
- ดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดผิว การผลัดเซลล์ผิว และการใช้สกินแคร์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว เมื่อผิวมีความสมดุล การผลิตน้ำมันก็จะลดลง รวมถึงลดโอกาสในการเกิดสิวด้วย
- หลีกเลี่ยงการเผชิญกับแดดจ้า เนื่องจากรังสีอัลตราไวโอเล็ตที่อยู่ในแสงแดดจะไปกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ทำให้ผิวเกิดการอักเสบ หากหลีกเลี่ยงการเผชิญแดดโดยตรงด้วยการทาครีมกันแดดหรือสวมหมวกที่มีปีกก็จะช่วยลดปัญหานี้ได้
- ปรับพฤติกรรมในการใช้ชีวิต อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าฮอร์โมนเป็นหนึ่งในปัจจัยของการเกิดสิว ซึ่งหากเรายังมีพฤติกรรมเดิมอยู่ เช่น พักผ่อนไม่เพียงพอ มีความเครียดสะสม ถึงแม้จะรักษาสิวด้วยวิธีอื่นๆ แล้ว แต่พฤติกรรมเหล่านี้จะยังคงทำให้ฮอร์โมนไม่สมดุล นำไปสู่การเกิดปัญหาสิวดังเดิมไม่รู้จบ
เป็นสิวอักเสบ จำเป็นต้องพบแพทย์ไหม?
หากเป็นสิวอักเสบในระยะแรกและมีจำนวนสิวไม่มากนัก สามารถรักษาให้หายเองได้โดยไม่ต้องพบแพทย์ แต่ถ้าหากมีปัญหาสิวเรื้อรังที่ขึ้นในบริเวณเดิมแล้วลุกลามไปยังบริเวณรอบๆ ควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อทำการรักษาอย่างถูกต้อง
รักษาสิวอักเสบที่ไหนดี?
จะเห็นได้ว่าสิวอักเสบนั้นสามารถกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง และหากคุณกำลังสนใจที่จะรักษาสิวอักเสบ ให้ Better Me Clinic by Dr. Chanya เป็นหนึ่งในทางเลือก เพราะเรามีบริการรักษาสิวให้เลือกอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการผลัดเซลล์ผิว การทำทรีตเมนต์พร้อมฉายแสง LED หรือแม้กระทั่งการฉีดมาเด้คอลลาเจน ทุกบริการเราให้บริการโดยแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น
หากยังไม่มั่นใจว่าควรเลือกรักษาสิวอักเสบด้วยวิธีใด สามารถติดต่อเข้ามาที่ Better Me Clinic by Dr. Chanya เพื่อให้คุณหมอประเมินสภาพผิวและแนะนำหัตการที่เหมาะสมแบบเคสบายเคส หากสนใจ สามารถติดต่อนัดหมายได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-059-8118, 088-603-2641 หรือไลน์ @bettermeclinic ปรึกษาคุณหมอฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย รับรองว่าคุณจะมีผิวสวยๆ กลับบ้านไปอย่างแน่นอน!
- Mayoclinic, Acne (https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/acne/diagnosis-treatment/drc-20368048), 3 nov 2023.
- Bioderma, สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) มีวิธีรักษาและลดการเกิดอย่างไร (https://www.bioderma.co.th/your-skin/combination-oily-acne-prone-skin/inflammatory-acne), 3 ธันวาคม 2566.
- Eucerin, สิวอักเสบ เกิดจากอะไร ดูแลรักษาสิวอักเสบได้ไม่ยากหากรับมืออย่างถูกวิธี (https://www.eucerin.co.th/about-skin/derms-articles/swell-acne), 3 ธันวาคม 2566.
- Eucerin, สิวฮอร์โมน ส่งผลต่อผิวพรรณอย่างไร – รักษาสิวฮอร์โมนอย่างไรดี ช่วงมีประจำเดือน (https://www.eucerin.co.th/skin-concerns/acne-prone-skin/acne-and-hormones-130), 3 ธันวาคม 2566.
- HDmall, ฉีดสิว อีกทางเลือกเพื่อให้สิวยุบได้รวดเร็วขึ้น (https://hdmall.co.th/c/acne-injection), 3 ธันวาคม 2566.
- Larocheposay, ทำไมจึงใช้เวลานานกว่าสิวจะหาย? (https://www.larocheposay-th.com/articles/why-does-it-take-so-long-to-get-rid-of-acne), 3 ธันวาคม 2566.
- Sanook, แสงแดดทำให้เกิดสิวจริงหรือ? (https://www.sanook.com/women/183341/), 3 ธันวาคม 2566.