fbpx

🔥FREE! Schedule a 3D Facial Design consultation with Dr.Chanya only this month 🇺🇸 🇰🇷 🔥

ผิวผสมไม่ใช่ปัญหา! เปิดโพยคู่มือดูแลผิวผสมฉบับละเอียด

ผิวผสมไม่ใช่ปัญหา! เปิดโพยคู่มือดูแลผิวผสมฉบับละเอียด
ผิวผสมไม่ใช่ปัญหา! เปิดโพยคู่มือดูแลผิวผสมฉบับละเอียด

เคยมั้ย? มีปัญหาผิวมันเยิ้มบริเวณทีโซน แต่บริเวณแก้มกลับแห้งตึงจนไม่รู้จะดูแลผิวยังไงให้สมดุล ปัญหาเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของ “ผิวผสม” ประเภทผิวที่พบได้บ่อยแต่กลับสร้างความสับสนให้กับการเลือกวิธีดูแลผิวที่เหมาะสม

ในบทความนี้ Better Me Clinic จึงจะพาทุกคนมาทำความรู้จักลักษณะผิวผสมให้มากขึ้น พร้อมทั้งแนะนำวิธีการดูแลผิวผสมที่ถูกต้อง เพื่อให้ผิวของคุณกลับมาสมดุลขึ้นอีกครั้ง

ผิวผสมคืออะไร?

ผิวผสม (Combination Skin) คือ ประเภทของผิวหน้าที่มีลักษณะผสมกันระหว่างผิวแห้งและผิวมัน โดยส่วนใหญ่มักจะมีความมันส่วนเกินที่บริเวณทีโซน (T-zone) เช่น หน้าผาก, จมูก และคาง เนื่องจากบริเวณนี้มีต่อมไขมันที่ผลิตน้ำมันออกมาค่อนข้างมาก 

ส่วนบริเวณหน้าแก้มทั้งสองข้าง ผู้ที่มีลักษณะผิวผสมมักจะมีผิวที่ค่อนข้างแห้งและรู้สึกตึง ๆ ผิว รวมถึงบางคนอาจมีอาการคันและผิวลอกเป็นขุยได้

ผิวผสมเกิดจากอะไร?

ผิวผสมเป็นสภาพผิวที่ค่อนข้างซับซ้อน เนื่องจากใบหน้าของเราแต่ละส่วนจะผลิตน้ำมันออกมาได้ในปริมาณที่แตกต่างกัน ทำให้ผิวบางส่วนมันเยิ้มและบางส่วนจะแห้งตึง โดยสาเหตุหลักของการเกิดผิวผสมคือการผลิตน้ำมันและการกักเก็บความชุ่มชื้นในผิวหน้าที่ไม่สมดุล ซึ่งเกิดได้จากหลายปัจจัย ดังนี้

  • พันธุกรรม: เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสภาพผิว โดยลักษณะของผิวผสมเป็นสิ่งที่สามารถส่งต่อได้จากรุ่นสู่รุ่น ถ้าหากคนในครอบครัวมีผิวผสม โอกาสที่คนรุ่นลูกหรือรุ่นหลานจะมีผิวผสมก็เกิดขึ้นได้ง่ายเช่นกัน
  • ฮอร์โมน: การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ช่วงวัยรุ่น, ช่วงตั้งครรภ์ หรือวัยทอง ล้วนส่งผลให้ต่อมไขมันทำงานได้ไม่สม่ำเสมอ ทำให้บริเวณทีโซนมีความมันเพิ่มขึ้น ในขณะที่ส่วนอื่น ๆ อย่างแก้มและกรอบหน้าจะแห้งลอก
  • อายุ: เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับการทำงานของฮอร์โมน โดยเฉพาะช่วงวัยรุ่นทั้งเพศชายและเพศหญิงที่ระดับฮอร์โมนในร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้การผลิตน้ำมันบนใบหน้าไม่คงที่ อาจทำให้เกิดผิวมันหรือผิวแห้งสลับกันไป แต่ส่วนมากเมื่ออายุมากขึ้น การผลิตน้ำมันก็จะลดลง ซึ่งอาจทำให้ลักษณะผิวผสมเปลี่ยนไป
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม: การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม เช่น สารทำความสะอาดที่รุนแรงหรือการใช้ครีมบำรุงผิวเนื้อหนัก อาจทำให้ผิวเสียสมดุลและส่งผลให้บริเวณที่แห้งยิ่งแห้งลอก รวมถึงบริเวณที่มันก็ยิ่งผลิตน้ำมันมากขึ้น ควรใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสูตรอ่อนโยนที่เติมความชุ่มชื้นได้โดยไม่เพิ่มความมันและเหมาะกับความต้องการของแต่ละส่วนของผิวหน้า
  • สภาพอากาศ: เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อสมดุลของผิวโดยตรง เนื่องจากถ้าอากาศร้อน ต่อมไขมันบริเวณ T-zone ก็จะทำงานมากขึ้น ส่งผลให้บริเวณนั้นมีความมัน ส่วนถ้าอากาศเย็น ผิวบริเวณแก้มและข้างจมูกที่แห้งอยู่แล้วอาจยิ่งแห้งลงไปอีก
  • การดื่มน้ำ: น้ำมีส่วนสำคัญต่อระบบเมตาบอลิซึมรวมถึงยังถูกดึงไปใช้ในกระบวนการต่าง ๆ ภายในร่างกาย ซึ่งถ้าหากเราดื่มน้ำไม่เพียงพอ น้ำที่ควรจะมาให้ความชุ่มชื้นบริเวณผิวหนังก็จะถูกดึงไปใช้ในกระบวนการอื่น ๆ ที่สำคัญมากกว่า ทำให้ผิวเสียสมดุลความชุ่มชื้นจนเกิดอาการผิวหน้ามันหรือหน้าแห้งได้

ปัญหาที่พบบ่อยของผิวผสม

ผิวผสมเป็นสภาพผิวที่มีลักษณะเฉพาะและอาจทำให้เกิดปัญหาผิวที่หลากหลายได้ ซึ่งปัญหาผิวที่พบบ่อยจะแตกต่างกันไปตามสภาพผิวแต่ละบริเวณ โดยผู้ที่มีผิวผสมมักจะพบปัญหาดังนี้

  • ผิวหน้ามันเยิ้ม: โดยเฉพาะบริเวณที่มีต่อมไขมันมากอย่างบริเวณ T-zone เช่น หน้าผาก, จมูก และคาง ผิวหน้าบริเวณนี้จะมีน้ำมันออกมาปกคลุมมากจนดูมันเยิ้ม สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งวัน แต่จะสังเกตเห็นได้ชัดในช่วงบ่ายหรือหลังออกแดด
  • รูขุมขนกว้าง: บริเวณที่มีผิวมันมักจะมีปัญหารูขุมขนกว้างร่วมด้วยเสมอ เนื่องจากเมื่อร่างกายผลิตน้ำมันส่วนเกินออกมามาก รูขุมขนจะขยายตัวเพื่อขับน้ำมันส่วนเกินออกมา ทำให้รูขุมขนดูใหญ่และผิวดูไม่เรียบเนียน ผู้ที่มีผิวมันแล้วไม่รีบดูแลจึงอาจทำให้ผนังของรูขุมขนขยายตัวถาวรจนมีรูขุมขนกว้างได้
  • สิว: สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายในบริเวณที่มีผิวมัน เนื่องจากรูขุมขนจะขยายตัวออกเพื่อระบายน้ำมันส่วนเกิน หากดูแลทำความสะอาดใบหน้าไม่ดีพอ สิ่งสกปรกและเซลล์ผิวที่ตายแล้วจะรวมตัวกันและเข้าไปอุดตันอยู่ในรูขุมขน ทำให้เกิดสิวอุดตันหัวดำและสิวอุดตันหัวขาว นอกจากนี้ หากมีเชื้อแบคทีเรียเจือปนอยู่ในรูขุมขนก็อาจทำให้สิวอุดตันพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบที่มีความรุนแรงและทำร้ายผิวมากขึ้นได้
  • ผิวแห้งลอก: พบได้บริเวณหน้าแก้มและส่วนอื่น ๆ ที่ขาดความชุ่มชื้น ซึ่งอาจทำให้ผิวลอกเป็นขุยหรือรู้สึกไม่สบายผิว หากปล่อยให้ผิวแห้งเกินไปโดยไม่ดูแลให้ผิวได้รับความชุ่มชื้นก็อาจทำให้ผิวหยาบกร้าน รวมถึงอาจเกิดการระคายเคืองและเกิดริ้วรอยได้ง่าย
  • ผิวหมองคล้ำ: เมื่อผิวแห้งหรือขาดความชุ่มชื้น เซลล์ผิวเก่าที่ควรจะผลัดออกตามธรรมชาติทุก ๆ 28 วันจะทำงานได้ช้าลง ทำให้เกิดการทับถมของเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ยิ่งถ้าหากมีการสะสมของเหงื่อไคลหรือสิ่งสกปรกร่วมด้วยก็จะยิ่งทำให้ผิวหมองคล้ำจนสังเกตเห็นได้ชัด

วิธีการดูแลผิวผสม

ในผู้ที่มีผิวผสม ผิวแต่ละส่วนจะมีความต้องการที่แตกต่างกันไป บางบริเวณอาจมีความมันส่วนเกิน ในขณะที่บางส่วนผิวกลับแห้งหรือขาดความชุ่มชื้นมาก 

การทำความเข้าใจลักษณะเฉพาะของผิวผสมและการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยปรับสมดุลของผิวให้สุขภาพดีขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยวิธีการดูแลผิวผสมที่ Better Me Clinic แนะนำ มีดังนี้

1. ล้างหน้าให้สะอาด

ผู้ที่มีผิวผสมควรล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2 ครั้ง โดยใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่อ่อนโยน เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวผสม เช่น โฟมล้างหน้าที่ไม่มีน้ำมัน (Oil-Free) และไม่ก่อให้เกิดการอุดตันผิว (Non-Comedogenic) โดยขณะที่ทำความสะอาดควรหลีกเลี่ยงการขัดหรือถูใบหน้าแรง ๆ เนื่องจากอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้

2. เลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะสม

การเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะสมเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการดูแลผิวผสม เนื่องจากลักษณะผิวในแต่ละบริเวณมีความต้องการที่แตกต่างกัน ควรเลือกมอยส์เจอไรเซอร์เนื้อบางเบา เช่น สูตรเจลหรือสูตรน้ำที่สามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงช่วยเติมความชุ่มชื้นได้โดยไม่เพิ่มความมันส่วนเกินบริเวณทีโซนซึ่งมีความมันมากอยู่แล้ว

สำหรับผิวบริเวณที่แห้ง เช่น แก้มและกรอบหน้า แนะนำให้เลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของสารให้ความชุ่มชื้นสูง เช่น ไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) หรือเซราไมด์ (Ceramide) ซึ่งมีส่วนช่วยกักเก็บน้ำในชั้นผิวและฟื้นฟูความชุ่มชื้นอย่างล้ำลึก

3. ใช้ผลิตภัณฑ์ควบคุมความมันในบริเวณทีโซน

บริเวณทีโซน เช่น หน้าผาก, จมูก และคาง มักเป็นจุดที่มีความมันส่วนเกินสูง เนื่องจากมีการผลิตน้ำมันในต่อมไขมันมากกว่าบริเวณอื่น ๆ ซึ่งอาจนำไปสู่การอุดตันรูขุมขนและเกิดปัญหาสิวได้ง่าย การดูแลผิวส่วนนี้จึงควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมความมันโดยเฉพาะ เช่น โทนเนอร์หรือเซรั่มที่มีส่วนผสมของไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) หรือซาลิไซลิกแอซิด (Salicylic Acid) ที่ช่วยลดการผลิตน้ำมัน ลดการอุดตัน และทำให้รูขุมขนกระชับขึ้น

ปรึกษาหมอชัญญาโดยตรง
ปรึกษาหมอชัญญาโดยตรง

4. ทาครีมกันแดด

แสงแดดเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำร้ายผิวอย่างรุนแรง เนื่องจากในแสงแดดมีรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ซึ่งเป็นรังสีที่สามารถทะลุผ่านผิวหนังตั้งแต่ชั้นหนังกำพร้าไปจนถึงชั้นหนังแท้ได้ การได้รับแสงแดดต่อเนื่องเป็นเวลานานจะทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระในผิวหนัง ทำให้ผิวเสียสมดุลจนเกิดผิวมันหรือผิวแห้งตามมา

การทาครีมกันแดดจึงเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากกันแดดจะช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีในแสงแดดได้ โดยควรเลือกทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 และมี PA+++ ขึ้นไป รวมถึงควรทาครีมกันแดดซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง หรือทาซ้ำเมื่อเหงื่อออก

5. ดูแลผิวด้วยหัตถการทางการแพทย์

การดูแลผิวผสมด้วยหัตถการทางการแพทย์เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยฟื้นฟูผิวที่เสียสมดุลให้กลับมาชุ่มชื้นและแข็งแรงขึ้นได้อีกครั้ง 

โดยก่อนเริ่มทำหัตถการ แพทย์จะต้องทำการประเมินผิวก่อนทุกครั้งเพื่อเลือกหัตถการที่เหมาะกับสภาพผิวและแก้ปัญหาที่เผชิญอยู่ได้อย่างตรงจุด โดยหัตถการที่แพทย์มักเลือกใช้ดูแลผิวผสม มีดังนี้

  • เมโสหน้าใส เป็นการใช้เข็มขนาดเล็กฉีดสารสกัดจากวิตามินและสารสำคัญอื่น ๆ เข้าไปใต้ผิวเพื่อฟื้นบำรุงผิว โดยตัวยาเมโสไม่ได้เพียงแต่จะช่วยแก้ไขปัญหาผิวที่ไม่สมดุลเท่านั้น แต่ยังช่วยดูแลและแก้ไขปัญหาผิวด้านอื่น ๆ ควบคู่ไปได้ด้วย หากยังไม่แน่ใจว่าควรเลือกเมโสหน้าใสแบบไหน Better Me Clinic ขอแนะนำโปรแกรม Meso Glow Booster ที่เน้นการฟื้นฟูและซ่อมแซมผิวด้วยสารสกัดสำคัญอย่างรกแกะ (Placenta) และดีเอ็นเอของปลาแซลมอน ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยกระชับรูขุมขน ลดจุดด่างดำ พร้อมทั้งกระตุ้นให้ผิวดูอิ่มน้ำและสุขภาพดีมากขึ้น
  • โปรแกรมทรีตเมนต์ เป็นการเติมสารอาหารให้กับผิวหน้าโดยตรงผ่านเทคนิคต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาผิวหน้าตามความต้องการของผู้เข้ารับบริการ โดยที่ Better Me Clinic เรามีโปรแกรม Golden Treatment ทรีตเมนต์ที่มีส่วนผสมของทองคำ มีคุณสมบัติสำคัญในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยฟื้นฟูผิว ทำให้ผิวกระจ่างใส รูขุมขนดูกระชับขึ้น ตอบโจทย์สำหรับทุกสภาพผิว 
  • โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ เป็นการฉีดสารเติมเต็มไฮยาลูรอนิกแอซิดเข้าไปที่ผิวหนังเพื่อช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้นชื้น โดยปัจจุบันมีการพัฒนาโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ให้ตอบโจทย์กับปัญหาผิวมากขึ้น โดยเฉพาะฟิลเลอร์ Belotero Revive ที่เน้นแก้ไขปัญหาผิวขาดความชุ่มชื้น ไม่แข็งแรง ช่วยทำให้ผิวดูอิ่มน้ำจากภายใน ดูอ่อนเยาว์ และผิวดูสุขภาพดีมากขึ้น

คำถามที่พบบ่อย

1. ผิวผสมใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันได้ไหม?

ผู้ที่มีสภาพผิวหน้าเป็นผิวผสมสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันได้ แต่ทั้งนี้ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับปัญหาและความต้องการของผิว 

ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของน้ำมันในบริเวณที่มีผิวแห้งเป็นหลัก เช่น แก้มหรือส่วนที่ลอกเป็นขุย โดยอาจเลือกเป็นน้ำมัน Squalane Oil หรือ Argan Oil เนื่องจากน้ำมันเหล่านี้มีฤทธิ์ในการช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวและป้องกันผิวจากการสูญเสียน้ำ

ส่วนบริเวณที่มีผิวมันก็สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันได้เช่นเดียวกัน แต่จำเป็นที่จะต้องเลือกอย่างระมัดระวัง ควรเลือกใช้น้ำมันที่มีโครงสร้างคล้ายกับน้ำมันธรรมชาติของผิว เช่น Jojoba Oil และ Tea Tree Oil เนื่องจากน้ำมันเหล่านี้จะไม่ทำให้หน้ามันเพิ่มขึ้น แต่จะเข้าไปช่วยปรับสมดุลการผลิตน้ำมันให้กลับสู่ภาวะปกติ

2. ผิวผสมสามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นผิวธรรมดาได้ไหม?

ผิวผสมไม่สามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นผิวธรรมดาได้อย่างถาวร เนื่องจากลักษณะของผิวผสมเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรมร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ เช่น ฮอร์โมน, อายุ และสภาพแวดล้อม อย่างไรก็ตาม การดูแลผิวอย่างเหมาะสมจะช่วยปรับสมดุลให้ผิวใกล้เคียงกับผิวธรรมดาได้ในระยะยาว

สรุปเกี่ยวกับผิวผสม

ผิวผสม เป็นสภาพผิวหน้าที่มีความซับซ้อน เนื่องจากมีทั้งผิวที่มีลักษณะมันและแห้งปะปนกัน การดูแลผิวผสมจึงต้องให้ความสำคัญกับการรักษาสมดุลของผิวทั้งสองส่วน โดยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่อ่อนโยน บำรุงด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะสม ป้องกันผิวจากแสงแดดอยู่เสมอ รวมถึงอาจใช้ตัวช่วยเสริมจากการทำหัตถการทางการแพทย์

จะเห็นได้ว่าการดูแลผิวผสมนั้นทำได้ไม่ยาก แต่ต้องอาศัยความใส่ใจเป็นพิเศษและมีวินัยในการดูแลผิว ถ้าหากคุณต้องการดูแลผิวผสมอย่างตรงจุด สามารถติดต่อเข้ามาได้ที่ Better Me Clinic by Dr. Chanya เพื่อให้คุณหมอประเมินสภาพผิวและแนะนำหัตถการที่เหมาะสมแบบเคสบายเคสได้เลย

หากสนใจสามารถติดต่อนัดหมายได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-059-8118, 088-603-2641 หรือไลน์ @bettermeclinic ปรึกษาคุณหมอฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย รับรองว่าคุณจะมีผิวสวย ๆ กลับบ้านไปอย่างแน่นอน!

  • Cobb, C. (2022, July 11). The Ultimate Skin Care Routine for Combination Skin. Healthline. https://www.healthline.com/health/beauty-skin-care/skin-care-routine-for-combination-skin 
  • Koutam, H. (2022, August 10). How To Take Care Of Different Skin Types?. Skinkraft. https://skinkraft.com/blogs/articles/different-skin-types-how-to-know-your-skin-type
  • The Ultimate Guide to Understanding Your Skin Type. (2024, July 2). Arsenault Aesthetics. https://arsenaultaesthetics.com/skin-care/skin-types/

เว็บไซต์นี้ มีการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ (Cookies) เพื่อมอบบริการที่ดีที่สุดสำหรับคุณ