มอยเจอร์ไรเซอร์ สกินแคร์ที่ทุกคนต้องใช้ ตัวช่วยกู้ความชุ่มชื้นขั้นเทพ!
คนที่สนใจด้านความงาม คงไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินกับคำว่า “มอยเจอร์ไรเซอร์” เพราะไม่ว่าจะมีปัญหาผิวแบบไหน ทั้งแพทย์ผิวหนังและเหล่าบิวตี้บล็อกเกอร์ก็มักจะแนะนำให้ลองใช้มอยเจอร์ไรเซอร์อยู่ตลอด
แต่รู้หรือไม่ว่ามอยเจอร์ไรเซอร์นั้นมีหลากหลายรูปแบบ และแต่ละสภาพผิวก็เหมาะกับมอยเจอร์ไรเซอร์ที่แตกต่างกันออกไป
ว่าแต่มอยเจอร์ไรเซอร์คืออะไร? สำคัญแค่ไหน? ช่วยแก้ปัญหาผิวที่ขาดความชุ่มชื้นให้กลับมาอิ่มน้ำได้จริงไหม? วันนี้ Better Me Clinic จะชวนทุกคนมาคลายความสงสัยและหาคำตอบทุกอย่างผ่านบทความนี้กัน!
มอยเจอร์ไรเซอร์คืออะไร?
มอยเจอร์ไรเซอร์ (Moisturizer) คือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดหนึ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและกักเก็บน้ำให้กับผิว ทำให้ผิวอยู่ในภาวะที่สมดุล
ซึ่งการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์นอกจากจะลดอาการผิวแห้ง ขาดน้ำ หน้ามัน หรือเกิดการระคายเคืองแล้ว ยังช่วยลดโอกาสในการเกิดสิวและริ้วรอยต่างๆ ได้อีกด้วย
มอยเจอร์ไรเซอร์ประกอบด้วยอะไรบ้าง?
มอยเจอร์ไรเซอร์ มีส่วนประกอบหลักอยู่ 2 อย่าง คือ สารฮิวเมกแทนท์ (Humectants) และสารให้ความนุ่มลื่น (Emollients)
โดยสารฮิวเมกแทนท์ เป็นตัวที่ทำหน้าที่เพิ่มความชุ่มชื้นด้วยการดูดซับความชื้นในอากาศเข้าสู่ผิว ซึ่งสารฮิวเมกแทนท์ที่นิยมนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ได้แก่ กลีเซอรอล (Glycerol) และกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid)
ส่วนสารให้ความนุ่มลื่น จะมีลักษณะคล้ายกับขี้ผึ้ง ทำหน้าที่กักเก็บความชุ่มชื้นที่เพิ่งซึมซับเข้ามาและช่วยป้องกันผิวสูญเสียน้ำ โดยสารให้ความนุ่มลื่นที่นิยมนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ได้แก่ น้ำมันจากพืช กรดไขมันจากสัตว์ และเชียบัตเตอร์
มอยเจอร์ไรเซอร์สำคัญอย่างไร?
ถึงแม้ว่าร่างกายของคนเราจะสามารถผลิตสารที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นกับผิวหนังได้โดยธรรมชาติ แต่ด้วยปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ฝุ่น ควัน มลภาวะ รวมถึงอายุที่เพิ่มมากขึ้น ก็อาจส่งผลให้ผิวเสียสมดุลในการสร้างและกักเก็บความชุ่มชื้น รวมถึงส่งผลให้เกิดปัญหาผิวต่างๆ ได้
นอกจากนี้ การที่เราขาดการบำรุงผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ ยังส่งผลให้ผิวและเกราะป้องกันผิวอ่อนแอลงจนรบกวนกระบวนการผลิตมอยเจอร์ไรเซอร์ตามธรรมชาติ ทำให้ผิวเสื่อมสภาพก่อนวัยอันควรด้วย
มอยเจอร์ไรเซอร์จึงไม่ใช่ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีประโยชน์ต่อผิวด้านอื่นๆ อีกด้วย ดังนี้
1. เสริมสร้างเกราะป้องกันผิว
ผิวหนังชั้นนอกสุด โดยทั่วไปแล้วจะประกอบไปด้วยเซลล์ไขมัน (Lipids) และกรดไขมัน (Fatty Acids) มีหน้าที่ในการเป็นเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ตามธรรมชาติ ช่วยให้ผิวไม่ถูกรบกวนจากสิ่งแวดล้อมภายนอก
หากเกราะป้องกันผิวนี้เสื่อมสภาพลง ก็อาจทำให้ผิวเสียสมดุลและเป็นปัญหาผิวต่างๆ ได้ง่าย เช่น การเกิดจุดด่างดำ ผิวแพ้ง่าย และมีอาการผิวแห้งที่เกิดขึ้นซ้ำซาก
มอยเจอร์ไรเซอร์จึงถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เข้ามาช่วยฟื้นฟูผิวและสร้างความแข็งแรงให้กับเกราะป้องกันผิวได้
2. จัดการกับริ้วรอยแห่งวัย
หลายคนอาจมองว่าปัญหาผิวแห้งเป็นแค่หนึ่งในสภาพผิวที่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อด้านความงามมากนัก แต่แท้จริงแล้วผิวที่แห้งกร้านกลับเป็นตัวการสำคัญในการเกิดริ้วรอยร่องตื้น
โดยเฉพาะเมื่อมีอายุมากขึ้น ต่อมไขมันก็จะเสื่อมสภาพลงตามการใช้งาน ทำให้ร่างกายผลิตน้ำมันออกมาเพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิวได้น้อยลง อีกทั้งคอลลาเจนและอีลาสที่เคยพยุงให้ผิวมีความเต่งตึงและชุ่มชื้น ก็จะค่อยๆ สลายตัวจนทำให้มีผิวหน้าแห้งกร้านและขาดความกระชับด้วย
การใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ในผู้ที่มีอายุมากแล้ว จึงช่วยให้ผิวที่เคยแห้ง หยาบกร้าน มีความนุ่มชุ่มชื้น อิ่มฟู และผิวดูกระชับขึ้นได้
3. ช่วยลดปัญหาผิวแพ้ง่าย
หลายคนอาจเคยประสบกับปัญหาผิวแพ้ง่าย ทำให้ไม่ว่าจะใช้ผลิตภัณฑ์ใดก็ตามมักจะเกิดเป็นรอยแดง หรือเกิดสิวได้ง่าย ซึ่งต้นเหตุหลักของปัญหานี้เกิดจากการที่เกราะป้องกันความชื้นของผิวถูกทำลาย ทำให้เวลาที่ผิวถูกกระตุ้นด้วยสารเคมีในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพียงเล็กน้อยเกิดการระคายเคืองได้
แต่สำหรับมอยเจอร์ไรเซอร์นั้น ส่วนมากจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน จึงสามารถนำมาใช้เพื่อปรับสภาพผิวให้กลับแข็งแรงและมีความชุ่มชื้นที่เหมาะสมได้
มอยเจอร์ไรเซอร์มีกี่ประเภท?
ก่อนจะเลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ Better Me Clinic ขอแนะนำให้ทุกคนศึกษาถึงประเภทของมอยเจอร์ไรเซอร์เสียก่อน เนื่องจากมอยเจอร์ไรเซอร์ที่ต่างประเภทกันจะนำไปสู่การแก้ปัญหาผิวที่ต่างกัน โดยมอยเจอร์ไรเซอร์สามารถแบ่งตามองค์ประกอบหลักได้ 2 ประเภท ดังนี้
1. มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก (Water - Based Moisturizer)
มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก มักประกอบด้วยกลีเซอรีนและกรดไฮยาลูโรนิก ซึ่งมีความสามารถในการให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวที่ขาดน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงยังช่วยให้ผิวดูอิ่มฟู ลดโอกาสในการเกิดริ้วรอยได้
มอยเจอร์ไรเซอร์รูปแบบนี้จึงมักมีเนื้อสัมผัสที่เบาสบาย ซึมซับได้เร็ว และไม่เหนียวเหนอะหนะ รวมถึงยังช่วยลดการอุดตันได้ดีอีกด้วย พบได้มากในผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อเจลหรือเนื้อโลชั่น
2. มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบหลัก (Oil - Based Moisturizer)
หลายคนอาจเคยประสบกับปัญหาผิวแพ้ง่าย ทำให้ไม่ว่าจะใช้ผลิตภัณฑ์ใดก็ตามมักจะเกิดเป็นรอยแดง หรือเกิดสิวได้ง่าย
ซึ่งต้นเหตุหลักของปัญหานี้เกิดจากการที่เกราะป้องกันความชื้นของผิวถูกทำลาย ทำให้เวลาที่ผิวถูกกระตุ้นด้วยสารเคมีในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพียงเล็กน้อยเกิดการระคายเคืองได้
แต่สำหรับมอยเจอร์ไรเซอร์นั้น ส่วนมากจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน จึงสามารถนำมาใช้เพื่อปรับสภาพผิวให้กลับแข็งแรงและมีความชุ่มชื้นที่เหมาะสมได้
วิธีเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับสภาพผิว
สภาพผิวของคนเราสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ลักษณะ ได้แก่ ผิวปกติ ผิวแห้ง ผิวมัน และผิวผสม การเลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับสภาพผิว จะช่วยให้มอยเจอร์ไรเซอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงหลังใช้ได้รวดเร็วมากขึ้น
โดยแต่ละสภาพผิวจะเหมาะกับการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่แตกต่างกันไป ดังนี้
1. ผิวปกติ (Normal Skin)
ผิวปกติ คือ สภาพผิวที่ดีและแข็งแรงมากที่สุด เนื่องจากผิวอยู่ในภาวะสมดุล ทำให้ไม่มีความแห้งและความมันมากจนเกินไป
คนที่มีสภาพผิวปกติจึงสามาถใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ได้ทั้งแบบที่มีน้ำหรือน้ำมันเป็นส่วนประกอบ แต่ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ ณ เวลานั้น
ยกตัวอย่างเช่น การเลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักในช่วงเช้า เนื่องจากเป็นช่วงที่ต้องเผชิญกับมลภาวะ การใช้มอยเจอร์ไรเซอร์รูปแบบนี้จะทำให้รู้สึกสบายผิวและไม่เหนียวเหนอะหนะจนเกินไป
ส่วนในช่วงก่อนนอนหรือช่วงที่อากาศเย็น อาจเลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบหลัก เนื่องจากช่วงนั้นความชื้นในอากาศจะลดลง ทำให้ไม่เกิดความรู้สึกเหนอะหนะระหว่างวัน
2. ผิวแห้ง (Dry Skin)
ผิวแห้ง คือ ผิวที่อยู่ในภาวะขาดน้ำจนเสียความชุ่มชื้นไป โดยผู้ที่มีผิวแห้งมักจะมีผิวที่ไม่เรียบเนียนและมีผิวหมองคล้ำ หากผิวแห้งมากๆ ก็จะทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น ลอกเป็นขุย และเกิดการอักเสบบริเวณผิวหนังได้
มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบหลักจึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวลักษณะนี้ เนื่องมอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนประกอบหลักเป็นน้ำมันมีคุณสมบัติที่ดีในการเติมเต็มความชุ่มชื้นควบคู่ไปกับการเคลือบผิวเพื่อป้องกันไม่ให้ความชุ่มชื้นใต้ผิวระเหยออก
สำหรับผู้ที่ไม่ได้มีผิวแห้งมากนัก อาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อสัมผัสเป็นเนื้อครีมหรือโลชั่น เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อบางเบา ให้ความรู้สึกสบายผิว
แต่หากเป็นผู้ที่มีผิวแห้งมาก อาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นเนื้อบาล์มจะเหมาะสมกว่า เพราะมีคุณสมบัติในการเคลือบผิวมากกว่าเนื้อครีมหรือโลชั่น แต่แนะนำให้ใช้ในช่วงก่อนนอนเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรู้สึกเหนอะหนะระหว่างวัน
3. ผิวมัน (Oily Skin)
ผิวมัน คือ ผิวที่อยู่ในภาวะขาดความชุ่มชื้น ทำให้ร่างกายผลิตน้ำมันออกมาเพื่อทดแทนความชุ่มชื้นที่เสียไปมากกว่าปกติ โดยผู้ที่มีผิวลักษณะนี้มักจะมีผิวที่มันวาว รูขุมขนกว้าง รวมถึงมีโอกาสในการเกิดสิวและเกิดการอุดตันของรูขุมขนได้ง่ายกว่าผิวลักษณะอื่นๆ
มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักอย่างเนื้อโลชั่นและอิมัลชั่น จึงเป็นมอยเจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวมัน เนื่องจากมีเนื้อสัมผัสที่เบาสบาย ไม่ทำให้รู้สึกเหนอะหนะระหว่างวัน อีกทั้งยังไม่เพิ่มความมันบนใบหน้าด้วย
ส่วนมอยเจอร์ไรเซอร์ที่ควรหลีกเลี่ยง คือ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เช่น น้ำมันมะพร้าว โกโก้ บัตเตอร์ หรือปิโตเลียมเจลลี่ เนื่องจากน้ำมันเหล่านี้อาจไปสะสมกับสิ่งตกค้างบนผิวจนเกิดการอุดตันบริเวณรูขุมขนซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดสิวได้
4. ผิวผสม (Combination Skin)
ผิวผสม คือ ลักษณะของผิวที่มีการผสมกันระหว่างผิวแห้งกับผิวมัน ซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีผิวมันบริเวณ T-zone และมีผิวแห้งบริเวณหน้าแก้ม ทำให้ผู้ที่มีสภาพผิวรูปแบบนี้ควรเลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับสภาพผิวแต่ละส่วน เช่น การใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบหลักบริเวณที่มีผิวแห้ง และการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักบริเวณที่มีผิวมัน
วิธีการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์
วิธีการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่ถูกต้อง นอกจากจะต้องเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับสภาพผิวแล้ว ยังต้องคำนึงถึงลำดับการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ทุกตัวสามารถซึมซับลงสู่ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย
โดยมอยเจอร์ไรเซอร์นั้นเป็นผลิตที่สามารถใช้ได้ทั้งในช่วงเช้าและกลางคืน แต่ควรใช้เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการลงสกินแคร์ เพื่อเป็นการล็อกความชุมชื้นให้กับผิว
นอกจากนี้ หลายๆ คนอาจนิยมใช้มอยเจอร์ไรเซอร์แค่ช่วงกลางคืนเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว การใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ก่อนแต่งหน้า จะช่วยทำให้ผิวสดชื่น ชุ่มชื้น พร้อมต่อการดูดซับเครื่องสำอาง และทำให้การแต่งหน้าติดทนมากขึ้น
วิธีเติมความชุ่มชื้นให้ผิวแบบเร่งด่วน
ถึงแม้ว่ามอยเจอร์ไรเซอร์จะเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพมาก แต่หากต้องการที่จะกู้ผิวให้กลับมามีความชุ่มชื้นอย่างเร่งด่วน การเลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์อย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ
การทำหัตถการต่างๆ จึงเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแบบเร่งด่วนให้กับผิวได้ ซึ่งหัตถการที่ Better Me Clinic อยากแนะนำมีทั้งหมด ดังนี้
1. ทรีตเมนต์ผิว
ทรีตเมนต์ผิว (Treatment) คือ การเติมสารอาหารต่างๆ ให้กับผิวหน้าโดยตรงผ่านเทคนิคต่างๆ ซึ่งการทำทรีตเมนต์แต่ละครั้งอาจประกอบไปด้วยการดูแลผิวเพียงปัญหาเดียวหรือหลายๆ ปัญหารวมกัน
สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวขาดความชุ่มชื้น Better Me Clinic ขอแนะนำโปรแกรม Aloe Vera Treatment ทรีตเมนต์ที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้เข้มข้น มีคุณสมบัติในการช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและปลอบประโลมผิว หลังทำผิวหน้าจะนุ่มและกระจ่างใสมากขึ้น เป็นทรีตเมนต์ผิวที่ผู้มีผิวแพ้ง่ายสามารถทำได้
2. เมโสหน้าใส
เมโสหน้าใส (Meso Therapy) คือ การฉีดตัวยาที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากวิตามินและสารสำคัญต่างๆ เข้าไปที่ผิวหนังชั้นกลางเพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ช่วยให้ผิวกลับมาแข็งแรงและมีความยืดหยุ่นอีกครั้ง
ซึ่งในผู้ที่มีปัญหาผิวขาดความชุ่มชื้น Better Me Clinic ขอแนะนำ Meso Bright สูตรเฉพาะจาก Better Me Clinic ที่ช่วยให้เติมความชุ่มชื้นให้กับผิวพร้อมกับการปรับผิวหน้าให้ดูกระจ่างใส ด้วยผสมจากสารสกัด phytoHA ธรรมชาติจากพืชและวิตามินที่จำเป็นต่อผิวอีกหลายชนิด ผิวจึงได้รับการฟื้นฟูอย่างมีประสิทธิภาพ
เติมความชุ่มชื้นให้ผิวที่ไหนดี?
จะเห็นได้ว่าการกู้ผิวที่ขาดความชุ่มชื้นนั้นทำได้ไม่ยาก เพียงอาจจะต้องอาศัยระยะเวลาเพื่อให้ผิวค่อยๆ ซึมซับความชุ่มชื้น แต่หากต้องการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ก็ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ให้บริการโดยแพทย์ผู้ชำนาญ รวมถึงควรศึกษาประสบการณ์จริงจากผู้รับบริการก่อนเข้ารับบริการด้วย
สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าจะเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวที่ไหนดี? ให้ Better Me Clinic by Dr. Chanya เป็นหนึ่งในทางเลือก เพราะเรามีบริการเติมความชุ่มชื้นผิวให้เลือกอย่างหลากหลาย เครื่องมือทันสมัยได้มาตรฐาน และทุกบริการดูแลโดยแพทย์ผู้ชำนาญเท่านั้น
หากยังไม่มั่นใจว่าควรเลือกเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวด้วยวิธีใด สามารถติดต่อเข้ามาที่ Better Me Clinic by Dr. Chanya เพื่อให้คุณหมอประเมินสภาพผิวและแนะนำหัตถการที่เหมาะสมแบบเคสบายเคสได้เลย สามารถติดต่อนัดหมายได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-059-8118, 088-603-2641 หรือไลน์ @bettermeclinic ปรึกษาคุณหมอฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย!
- Be Beautiful, HOW TO CHOOSE BETWEEN WATER AND OIL BASED MOISTURIZERS
- (https://www.bebeautiful.in/beautypedia/how-choose-between-water-and-oil-based-moisturizers), 7 February 2024.
- Cerave, What Is a Moisturiser & What Does It Do (https://www.cerave.com.au/blog/everyday-skin-care/what-is-moisturiser),6 February 2024.
- E45, What is an emollient? (https://e45.com/auz/what-is-an-emollient/), 6 February 2024.
- Bioderma, มอยส์เจอร์ไรเซอร์ คืออะไร? ตัวช่วยบำรุงผิวที่คนเป็นสิวก็ใช้ได้
- (https://www.bioderma.co.th/your-skin/combination-oily-acne-prone-skin/what-is-a-moisturizer-acneskincare), 7 กุมภาพันธ์ 2567.
- พี.ซี. อินเตอร์เทรด, Emollient & Humectant (https://www.pcintertrade.com/product_cat/emollient-humectant/), 7 กุมภาพันธ์ 2567.
- โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์, เลือกมอยส์เจอไรเซอร์อย่างไรให้เหมาะกับผิวหน้าของคุณ! (https://www.bumrungrad.com/th/health-blog/july-2020/moisturizer-skin), 7 กุมภาพันธ์ 2567.