ผิวแห้ง หน้าลอก หนึ่งสัญญาณเตือนว่าผิวกำลังมีปัญหา ดูแลด่วนก่อนเกินแก้!
หากพูดถึงผิวที่ดูแข็งแรงสุขภาพดี ภาพแรกที่หลายคนนึกถึงคงหนีไม่พ้นการมีผิวฉ่ำโกลว์ที่ดูอิ่มน้ำจากภายใน ผิวแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้หากผิวของเรากักเก็บความชุ่มชื้นไว้อย่างเพียงพอ แต่เมื่อใดก็ตามที่ผิวเกิดเสียสมดุล ขาดน้ำ ผิวก็จะเริ่มแห้ง ลอกเป็นขุย และในบางรายอาจมีอาการคันร่วมด้วย
ผิวแห้งหากดูเผินๆ อาจเหมือนเป็นแค่ปัญหาทางด้านความงามเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วการมีผิวแห้งในระดับรุนแรงอาจนำไปสู่การเกิดโรคผิวหนังอื่นๆ ตามมา
แล้วปัญหาเหล่านี้เกิดจากอะไร? ผิวแห้งแตกต่างจากผิวหนังอักเสบไหม? แล้วจะรักษาอาการนี้ได้อย่างไรบ้าง? Better Me Clinic ชวนหาคำตอบไปพร้อมๆ กันในบทความนี้!
ผิวแห้งคืออะไร?
ผิวแห้ง (Dry Skin หรือ Xerosis) คือ ลักษณะของผิวที่ขาดความชุ่มชื้น ทำให้ผิวเกิดความรู้สึกตึง แตกลาย ลอกตัวเป็นขุยหรือเกล็ด ในบางรายอาจมีอาการคันร่วมด้วย โดยผู้ที่มีผิวแห้งหากลูบบริเวณผิวจะรู้สึกสากมือ หรือถ้ามีผิวแห้งบริเวณใบหน้าก็จะสังเกตได้ว่าทุกครั้งหลังล้างหน้าจะเกิดอาการตึงที่ผิว
รวมถึงถ้าหากอาการผิวแห้งที่เกิดขึ้นเรื้อรัง ก็อาจนำไปสู่การเกิดปัญหาผิวอื่นๆ ตามมา เช่น สีผิวไม่สม่ำเสมอ การเกิดริ้วรอยร่องลึก และมีอาการระคายเคืองผิวเมื่อต้องเผชิญกับสิ่งแวดล้อม ด้วยเหตุนี้ปัญหาผิวแห้งจึงเป็นปัญหาที่ไม่ควรปล่อยปละละเลยและควรรีบดูแลผิวทันทีเมื่อสังเกตอาการได้
ผิวแห้งเกิดจากอะไร?
ผิวแห้ง เกิดจากการที่กระบวนการสร้างความชุ่มชื้นให้ผิวเสียสมดุล ทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมาได้น้อยกว่าปกติ รวมทั้งผิวหนังเองก็ไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นที่มีอยู่ได้ ทำให้เซลล์ผิวเสื่อมสภาพลง จนเกิดปัญหาผิวแห้งแตก
ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดผิวแห้ง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก
1. ปัจจัยภายใน
เป็นปัจจัยที่เกิดจากร่างกายเสียสมดุลในการสร้างไขมันใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น โดยมีสาเหตุมาจาก
- พันธุกรรม ร่างกายล้วนประกอบมาจากการถ่ายทอดพันธุกรรมทั้งสิ้น ซึ่งในผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง อาจเป็นผลมาจากการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม อย่างการผลิตซีบัมหรือน้ำมันส่วนเกินบนผิว ที่สามารถผลิตได้น้อยกว่าคนที่มีผิวลักษณะอื่นๆ
- ฮอร์โมน การทำงานที่ผิดปกติของฮอร์โมนบางชนิดอาจเข้าไปรบกวนการผลิตซีบัมของต่อมไขมัน รวมทั้งลดความสามารถในการกักเก็บความชุ่มชื้นของผิวหนัง เช่น ฮอร์โมนคอร์ติซอล ฮอร์โมนเอสโทรเจน และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ซึ่งความผิดปกติที่เกิดจากฮอร์โมนมักจะสอดคล้องกับปัจจัยอื่นๆ อย่างอายุ และความเครียด เป็นต้น
- อายุ เมื่ออายุมากขึ้น ถึงแม้ต่อมไขมันจะยังมีจำนวนเท่าเดิม แต่ฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งมีหน้าที่ในการกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตซีบัมนั้นจะทำงานน้อยลง ทำให้ผิวอ่อนแอและสูญเสียน้ำออกจากผิวมากขึ้น รวมทั้งการผลัดเซลล์ก็ลดลง ผิวจึงเริ่มแห้งและมีปัญหาริ้วรอย ซึ่งนับเป็นเรื่องปกติตามกระบวนการชราตามธรรมชาติ
- ภาวะขาดวิตามินหรือแร่ธาตุ วิตามินบางชนิดมีหน้าที่สำคัญในการช่วยให้เซลล์ผิวเจริญเติบโตและแข็งแรงมากขึ้น เช่น วิตามินเอ (Vitamin A) วิตามินซี (Vitamin C) วิตามินอี (Vitamin E) และซิงค์ (Zinc) ซึ่งหากร่างกายขาดวิตามินเหล่านี้จะทำให้ผิวอ่อนแอลงจนทำงานได้ไม่สมดุล
- โรคประจำตัว ในผู้ที่มีผิวแห้งบางรายอาจเป็นผลมาจากการมีโรคผิวหนังเดิมอยู่แล้ว เช่น โรคภูมิแพ้ผิวหนัง โรคผิวหนังอักเสบ โรคผิวหนังอักเสบโรซาเชีย นอกจากนี้โรคที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของฮอร์โมนก็ทำให้ผิวแห้งได้เช่นกัน เช่น ภาวะพร่องไทรอยด์ และโรคเบาหวาน เป็นต้น
2. ปัจจัยภายนอก
- สภาพอากาศ สภาพอากาศที่เย็นมากเกินไปสามารถทำให้ผิวแห้งได้ เนื่องจากอากาศหนาวจะทำให้ความชื้นในอากาศลดลง และเพื่อให้อากาศเกิดความสมดุล ความชื้นที่อยู่ใต้ผิวหนังจึงถูกนำมาใช้แทน ซึ่งรวมไปถึงการอยู่ในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศเป็นเวลานานๆ ด้วย
- การทำความสะอาดผิวผิดวิธี เช่น การล้างหน้าบ่อยเกินไปจะทำให้ผิวเสียความชุ่มชื้นและทำลายเกราะป้องกันผิว เนื่องจากสูญเสียน้ำมันที่ถูกผลิตออกมาเพื่อสร้างสมดุลให้กับผิว รวมทั้งการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่ไม่เหมาะกับผิว อาจทำให้ผิวไม่ได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่อีกด้วย
- การรักษาโรคบางชนิด อาจทำให้ผิวแห้งได้ เช่น การฉายรังสี การล้างไต หรือการทำเคมีบำบัด เพราะการรักษาเหล่านี้จะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำเป็นจำนวนมาก
อาการผิวแห้งมีกี่ประเภท?
อาการผิวแห้ง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ ประกอบไปด้วย ผิวแห้งจากการระคายเคือง และผิวแห้งจากต่อมไขมันร่างกายผลิตน้ำมันออกมาน้อยเกินไป
1. ผิวแห้งจากการระคายเคือง
ผิวแห้งจากการระคายเคือง หรือที่รู้จักในอีกชื่อว่า โรคผื่นระคายสัมผัส (Contact Dermatitis) เป็นอาการผิวแห้งที่มักจะเกิดร่วมกับการมีผื่นแดงบนผิวหนัง ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายตัว
ผิวแห้งจากสาเหตุนี้มักเกิดหลังจากผิวหนังสัมผัสกับสารที่ก่อภูมิแพ้ หรือสารเคมีบางชนิด เช่น ผงซักฟอก น้ำยาล้างห้องน้ำ ฝุ่นละออง น้ำยาย้อมผม และเครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของน้ำหอมหรือแอลกอฮอลล์
อาการผิวแห้งประเภทนี้มักจะเกิดขึ้นทันทีเมื่อผิวหนังสัมผัสกับสารกระตุ้น ทั้งนี้หากเกิดการแพ้ขึ้นหนึ่งครั้งแล้ว แม้จะสัมผัสสารก่อภูมิแพ้เหล่านี้เพียงเล็กน้อยก็อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ จนเกิดผิวแห้งและผื่นคันได้
2. ผิวแห้งจากต่อมไขมันร่างกายผลิตน้ำมันออกมาน้อยเกินไป
ผิวแห้งจากต่อมไขมันร่างกายผลิตน้ำมันออกมาน้อยเกินไป เป็นอาการผิวแห้งที่เกิดขึ้นได้จากทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกตามที่กล่าวไปข้างต้น เมื่อเป็นแล้วจะรู้สึกว่าผิวแห้งตึง หากมีอาการรุนแรงผิวอาจแตกลายและลอกตัวเป็นขุยได้ สามารถเกิดขึ้นได้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า
ผิวแห้งกับผิวหนังอักเสบ มีความแตกต่างกันอย่างไร?
ผิวแห้งและผิวอักเสบ ดูจากภายนอกอาจมีลักษณะคล้ายกันมาก แต่กลับมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงควรสังเกตผิวของเราก่อนว่ากำลังเผชิญกับปัญหาผิวแบบใดอยู่ เพื่อจะได้ทำการรักษาอย่างถูกวิธีและเหมาะสม โดยความแตกต่างระหว่างผิวแห้งกับผิวหนังอักเสบมีดังนี้
- อาการผิวแห้ง โดยทั่วไปแล้วจะเกิดจากเกราะป้องกันผิวซึ่งอยู่ชั้นนอกสุดของผิวอ่อนแอลง ทำให้ผิวขาดสมดุล ความชุ่มชื้น และง่ายต่อการที่มลภาวะต่างๆ จะเข้ามารบกวนผิว ทำให้ผิวลอกเป็นขุย
- ผิวหนังอักเสบ เป็นหนึ่งในอาการของโรคภูมิแพ้ ที่ทำให้เกิดปัญหาผิวแห้งขึ้นมาได้ดื้อๆ โดยไม่จำเป็นต้องสัมผัสกับปัจจัยอื่นภายนอก แต่อาการจะรุนแรงกว่าเมื่อมีการสัมผัสกับสารที่ก่อให้เกิดความระคายเคือง เพราะสารเหล่านั้นจะแทรกซึมเข้าสู่ผิวและก่อให้เกิดการอักเสบ
ทั้งผิวแห้งและผิวหนังอักเสบอาจก่อให้เกิดอาการคันได้ โดยผู้ที่มีผิวแห้งมักจะเกิดอาการคันได้มากกว่าการเป็นผิวหนังอักเสบ ยกเว้นโรคผิวหนังอักเสบในเด็ก ที่จะเกิดอาการคันมากจนเป็นอุปสรรค์ในการใช้ชีวิต
นอกจากนี้ยังสามารถสังเกตความแตกต่างของผิวแห้งและผิวหนังอักเสบได้จากบริเวณที่เกิดการระคายเคือง โดยผิวแห้งสามารถเกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย ในขณะที่ผิวหนังอักเสบส่วนมากมักเกิดขึ้นบริเวณใบหน้า หนังศรีษะ เหนือข้อศอก และข้อพับเข่า
วิธีรักษาอาการผิวแห้ง
การรักษาอาการผิวแห้งจะเน้นไปที่การเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น และสร้างเกราะป้องกันให้ผิว ทำให้ผิวคงความชุ่มชื้นได้ยาวนานขึ้น ลดโอกาสที่จะเกิดปัญหาผิวแห้งซ้ำซาก ซึ่งหากต้องการให้เห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว แพทย์มักแนะนำให้เข้ารับหัตถการดูแลผิว ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
1. การรักษาสิวผดด้วยยา
การรักษาสิวผดด้วยยา มักใช้ยาภายนอกในการรักษา เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา P.Ovale ที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิวผด ซึ่งวิธีนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากทำได้ง่ายและเกิดผลข้างเคียงน้อย โดยยาที่นิยมใช้มีดังนี้
- ยาที่มีส่วนผสมของ Retinoid เรตินอยด์มีคุณสมบัติสำคัญในการช่วยฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพจากแสงแดด รวมถึงช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์อีลาสตินและคอลลาเจน ทำให้ผิวแข็งแรง ดูกระชับ และช่วยให้ริ้วรอยจางลงเมื่อใช้เรตินอยด์อย่างต่อเนื่อง แต่การใช้ยาชนิดนี้จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
- ยาที่มีส่วนผสมของ Ketoconazole เป็นยาที่มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อรา โดยตัวยาจะเข้าไปยับยั้งการสังเคราะห์อาหารของเชื้อรา ทำให้เชื้อราขาดสารอาหารจนหยุดการเจริญเติบโตและทำให้ผิวกลับมามีสภาวะที่สมดุล แต่การใช้ยาชนิดนี้จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
- ยาที่มีส่วนผสมของ Zinc เนื่องจาก Zinc มีฤทธิ์เป็นยาปฏิชีวนะอ่อนๆ จึงสามารถช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ในการช่วยยับยั้งการผลิตซีบัม ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดสิวได้อีกด้วย
- ยากลุ่มสเตียรอยด์ วิธีนี้จะใช้ในผู้ที่มีสิวผดร่วมกับอาการคันเท่านั้น เนื่องจากยากลุ่มนี้มีฤทธิ์ช่วยรักษาอาการคันได้ดี รวมทั้งยังช่วยลดจำนวนสิวลงได้อย่างรวดเร็ว แต่การใช้ยาชนิดนี้จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
1. การฉีดฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์ เป็นสารเติมเต็มชนิดหนึ่งที่ประกอบไปด้วยส่วนประกอบสำคัญอย่างไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid : HA) ซึ่งมีส่วนช่วยให้ผิวชุ่มชื้น เต่งตึง โดยมากมักนำมาแก้ปัญหาริ้วรอยร่องลึก ปัญหาใต้ตา รวมถึงสามารถนำมาใช้ในการปรับรูปหน้า และแก้ปัญหารูปทรงปาก
แต่ในปัจจุบันมีการพัฒนาฟิลเลอร์ให้ตอบโจทย์กับปัญหาผิวมากขึ้น อย่างฟิลเลอร์ Belotero Revive ฟิลเลอร์งานผิวตัวแรกของโลก ที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิก และกลีเซอรอล (Glycerol) ทำให้ฟิลเลอร์ทั่วไปมีเพียงกรดไฮยาลูโรนิกเป็นส่วนประกอบเท่านั้น
และด้วยคุณสมบัติทั่วไปของฟิลเลอร์ที่สามารถอุ้มน้ำได้ดี ทำให้หลังฉีดฟิลเลอร์ Belotero Revive ผิวจึงอิ่มน้ำจากภายใน สามาถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผิวดูสุขภาพดีขึ้นและแลดูอ่อนเยาว์
2. การฉีดเมโสหน้าใส
การฉีดเมโสหน้าใส (Mesotherapy) คือ การใช้เข็มขนาดเล็กฉีดสารสกัดจากวิตามินและสารสำคัญอื่นๆ เข้าไปที่ผิวชั้นกลาง ซึ่งเป็นชั้นที่มีคอลลาเจนและอิลาสตินอยู่ ช่วยให้ผิวกลับมาชุ่มชื้นและแข็งแรงขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเมโสที่สามารถแก้ปัญหาผิวแห้งได้ มีดังนี้
- มาเด้คอลลาเจน (Made Collagen) เป็นการฉีดตัวยาเข้าไปที่บริเวณชั้นผิวของใบหน้า โดยตัวยาจะออกฤทธิ์ในการขับสารพิษและของเสีย ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น
- เมโสชาแนล (Meso Chanel) เป็นการฉีดสารสกัดในกลุ่มไฮยาลูรอนิกแอซิดแบบโมเลกุลเดี่ยวที่ผสมผสานกับสารสกัดบำรุงผิวต่างๆ เข้าไปในผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น
- รีจูรัน (Rejuran) เป็นการฉีดตัวยาที่มีส่วนผสมสำคัญ คือ สารพอลินิวคลีโอไทด์ที่สกัดมาจากปลาแซลมอน ช่วยให้ผิวแข็งแรงและชุ่มชื้นขึ้น รวมทั้งยังช่วยให้ผิวดูฉ่ำวาวขึ้นอีกด้วย
- เอ็กโซโซม (Exosome) เป็นการฉีดตัวยาที่อุดมไปด้วยสารประกอบทางชีวเคมีที่สำคัญต่อเซลล์มากกว่า 1,000 ชนิดลงสู่ผิว จึงช่วยฟื้นฟูและแก้ปัญหาผิวต่างๆ ได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ Better Me Clinic ยังมีเมโสหน้าใสสูตรเฉพาะที่จะเข้ามาช่วยกู้ปัญหาผิวแห้งของคุณได้ คือ Meso Bright ซึ่งมีส่วนประกอบสำคัญอย่างสารสกัด phytoHA จากธรรมชาติและพืชหลากหลายชนิด รวมทั้งวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญต่อผิว ช่วยฟื้นฟูผิวที่เคยแห้งกร้านให้กลับมาชุ่มชื้น รวมถึงช่วยปรับผิวหน้าให้ดูกระจ่างใสขึ้นด้วย
3. การทำทรีตเมนต์
การทำทรีตเมนต์ คือ การเติมสารอาหารให้กับผิวหน้าโดยตรงผ่านเทคนิคต่างๆ โดยการทำทรีตเมนต์แต่ละครั้งสามารถเลือกที่จะดูแลปัญหาผิวด้านเดียว หรือหลายๆ ด้านพร้อมกันก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิว ความต้องการ และการประเมินของแพทย์ในแต่ละบุคคล
ซึ่งถ้าหากยังไม่แน่ใจว่าควรทำทรีตเมนต์สูตรไหนดี? Better Me Clinic ขอแนะนำ Golden Treatment ทรีตเมนต์ที่มีส่วนผสมของทองคำ มีคุณสมบัติสำคัญในการกระตุ้นสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ผิวกระจ่างใส รูขุมขนดูกระชับ เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึกและต้องการให้หน้ากระจ่างใส
สกินแคร์ที่เหมาะสำหรับผู้มีปัญหาผิวแห้ง
สกินแคร์ที่เหมาะสำหรับผู้มีปัญหาผิวแห้ง จะเน้นไปที่การเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ช่วยให้ผิวแข็งแรง และสร้างเกราะป้องกันให้กับผิว แต่วิธีนี้อาจต้องใช้เวลาและอาศัยวินัยมากกว่าการเข้ารับการรักษาทางการแพทย์
ซึ่งถ้าหากอยากให้สกินแคร์ที่ใช้สามารถแก้ไขปัญหาผิวแห้งได้อย่างเห็นผล ควรเลือกใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ (Moisturizer) หรือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าอื่นๆ ที่มีส่วนประกอบหลักอย่าง สารไฮยาลูรอนิกและเซราไมด์ ที่มีคุณสมบัติในการกักเก็บความชุ่มชื้น รวมถึงช่วยให้เกราะป้องกันผิวแข็งแรงขึ้น
และควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารกลุ่มซัลเฟต ที่มักพบในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า เพราะสารเหล่านี้จะทำให้ผิวเสียความชุ่มชื้นจนเกิดการแห้งตึง รวมไปถึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมและแอลกอฮอลล์ เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองจนเกิดอาการผื่นคันได้
วิธีป้องกันอาการผิวแห้ง
วิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับการป้องกันอาการผิวแห้ง คือ การดูแลผิวให้แข็งแรงอยู่เสมอด้วยผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวและกระตุ้นให้ผิวแข็งแรงมากขึ้น ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้ผิวสูญเสียน้ำ เช่น การล้างหน้าบ่อยๆ การอยู่ในสภาพอากาศเย็นเป็นเวลานานๆ
ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้ผิวเกิดความระคายเคือง เช่น การถูใบหน้าแรงๆ การสครับผิวบ่อยเกินไป เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกราะป้องกันผิวบางลง ง่ายต่อการเกิดปัญหาผิวแห้งและปัญหาผิวอื่นๆ ได้
รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดจ้าเป็นเวลานานๆ เนื่องจากในแสงแดดมีรังสีอัลตราไวโอเล็ตที่มีส่วนในการทำลายเซลล์ผิว ทำให้ผิวอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว หากจำเป็นต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งควรทาครีมกันแดดที่มี SPF 50 PA+++ โดยทาก่อนออกแดดอย่างน้อย 20 นาที และทาซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมง
นอกจากการดูแลผิวที่ภายนอกแล้ว ก็ควรดูแลควบคู่ไปกับการรับประทานอาการให้ได้วิตามินที่ครบถ้วน โดยเฉพาะวิตามินเอ (Vitamin A) วิตามินซี (Vitamin C) วิตามินอี (Vitamin E) และซิงค์ (Zinc) ซึ่งเป็นวิตามินที่มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างคอลลาเจนให้กับผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ไม่แห้งกราน
จะเห็นได้ว่าการดูแลผิวแห้งนั้นทำได้ไม่ยาก แต่จำเป็นที่ต้องประเมินตนเองให้ได้เสียก่อนว่าผิวของเรามีอาการแห้งจากสาเหตุใด
หากยังไม่มั่นใจว่าปัญหาผิวที่เราเผชิญอยู่เป็นเพียงอาการผิวแห้งธรรมดาจริงไหม? ควรรักษาด้วยวิธีไหนจึงจะเหมาะกับเรามากที่สุด? สามารถติดต่อเข้ามาได้ที่ Better Me Clinic เพื่อให้คุณหมอประเมินสภาพผิวและแนะนำหัตถการที่เหมาะสมแบบเคสบายเคสได้เลย
หากสนใจ สามารถติดต่อนัดหมายได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-059-8118, 088-603-2641 หรือไลน์ @bettermeclinic ปรึกษาคุณหมอฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย รับรองว่าคุณจะมีผิวสวยๆ กลับบ้านไปอย่างแน่นอน!
- Cleveland Clinic, Dry Skin (https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/16940-dry-skin), 8 January 2024.
- Better Me Clinic, ทำความรู้จัก Belotero Revive ฟิลเลอร์งานผิวตัวแรกของโลก (https://bettermeclinicofficial.com/aesthetic/belotero-revive/), 8 มกราคม 2567.
- Eucerin, ผิวแห้งลอกเป็นขุย – ดูแลรักษาอย่างไรดี ? (https://www.eucerin.co.th/skin-concerns/dry-skin/dry-and-verydry-body-skin), 8 มกราคม 2567.
- Pobpad, โรคผื่นระคายสัมผัส (CONTACT DERMATITIS) (https://www.pobpad.com/โรคผื่นระคายสัมผัส-contact-dermatitis),8 มกราคม 2567.
- Larocheposay, เป็นโรคผิวหนังอักเสบหรือเป็นเพียงผิวแห้ง?
- (https://www.larocheposay-th.com/articles/dry-skin-vs-atopic-eczema), 8 มกราคม 2567.
- โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์, ผิวแห้ง ปัญหาผิวขาดความชุ่มชื้นดูแลอย่างไร(https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/seborrheic-dermatitis), 8 มกราคม 2567.