fbpx

🔥FREE! Schedule a 3D Facial Design consultation with Dr.Chanya only this month 🇺🇸 🇰🇷 🔥

พอกันทีกับปัญหาหน้ามัน หน้าเมือก มารักษาให้อยู่หมัดด้วย 3 วิธีนี้!

พอกันทีกับปัญหาหน้ามัน หน้าเมือก มารักษาให้อยู่หมัดด้วย 3 วิธีนี้!
พอกันทีกับปัญหาหน้ามัน หน้าเมือก มารักษาให้อยู่หมัดด้วย 3 วิธีนี้!

“ผิวมัน” นับเป็นหนึ่งคู่ปรับตัวฉกาจของสาวๆ เมืองร้อน โดยเฉพาะในตอนที่จะต้องแต่งหน้าและออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง เพราะเพียงแค่ก้าวขาออกจากบ้าน เครื่องสำอางที่แต่งก็พร้อมละลายรวมกับน้ำมันบนใบหน้า มิหนำซ้ำปัญหาหน้ามันยังเป็นตัวการสำคัญของการเกิดรูขุมขนกว้างและการเกิดสิวอีกด้วย

วันนี้ Better Me Clinic จึงจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ “หน้ามัน” หนึ่งในสภาพผิวที่กวนใจใครหลายคน เจาะลึกตั้งแต่หน้ามันคืออะไร? หน้ามันแตกต่างจากผิวลักษณะอื่นอย่างไร? รวมไปถึงวิธีการเลือกสกินแคร์ และวิธีรักษาหน้ามันอย่างอยู่หมัด! 

หน้ามันคืออะไร?

หน้ามัน (Oily Face) หรือ ผิวมัน (Oily Skin) คือ ปัญหาบนผิวหนังอย่างหนึ่ง เกิดจากการที่ผิวหน้ามีการผลิตซีบัมหรือน้ำมันส่วนเกิดออกมามากเกินไป รวมทั้งการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน ก็สามารถทำให้ผิวถูกเคลือบด้วยน้ำมันเหล่านี้ได้

โดยทั่วไปแล้ว ร่างกายของเราจะมีการผลิตซีบัมออกมาเป็นปกติ เพื่อรักษาสมดุลและสร้างความชุ่มชื้นให้กับผิว แต่หากผลิตออกมามากเกินไปก็จะทำให้เชื้อแบคทีเรียบนใบหน้าเสียสมดุล รวมทั้งน้ำมันที่ผลิตออกมายังเป็นแหล่งอาหารชั้นดีของแบคทีเรียและเชื้อราหลายชนิด ผิวมันจึงเป็นสภาพผิวที่ง่ายต่อการเกิดการสิว

หน้ามันเกิดจากอะไร?

หน้ามัน เกิดจากการที่ผิวหน้ามีการผลิตน้ำมันส่วนเกินออกมามากเกินไป ทำให้ผิวมีลักษณะมันแววเพราะมีน้ำมันเคลือบอยู่ที่ผิว ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยเหล่านี้

1. กรรมพันธุ์

นอกจากลักยิ้ม ผมหยักศก หรือชั้นหนังตา จะถ่ายทอดกันผ่านกรรมพันธุ์แล้ว ลักษณะของผิวหน้ามันก็สามารถส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นได้เช่นเดียวกัน ถ้าหากคนในครอบครัวมีปัญหาหน้ามัน ก็มีโอกาสที่รุ่นลูกรุ่นหลานจะมีผิวหน้ามันได้เหมือนกัน

2. อายุ

ในช่วงวัยรุ่น ผิวของเราจะเกิดความมันได้มากกว่าช่วงวัยอื่นๆ เนื่องจากเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหลายชนิด รวมถึงโปรตีนและคอลลาเจนในผิวทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ก่อนที่ผิวจะค่อยๆ มีความมันน้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น

ปรึกษาหมอเกียร์โดยตรง
ปรึกษาหมอชัญญาโดยตรง

3. ฮอร์โมน

การทำงานที่ผิดปกติของฮอร์โมนบางชนิดอาจเข้าไปรบกวนการทำงานของต่อมไขมันและการผลิตซีบัม เช่น ฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) ที่สามารถพบได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย จะเพิ่มสูงขึ้นเป็นพิเศษในผู้ที่เป็นวัยรุ่น เมื่อฮอร์โมนนี้มีมากเกินไป นอกจากจะทำให้หน้ามันแล้ว ยังเพิ่มโอกาสในการเกิดสิวอักเสบหรือสิวฮอร์โมนได้อีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีฮอร์โมนที่ส่งผลต่อการทำงานของต่อมไขมันอีกมากมาย โดยความผิดปกติของฮอร์โมนมักจะสอดคล้องกับปัจจัยอื่นๆ อย่างอายุ ความเครียด เช่น ฮอร์โมนคอร์ติโซล (Cortisol) ฮอร์โมนนูโรเปปไทด์ (Neuropeptides) ฮอร์โมนเอนโดรฟีน (Endorphins) และฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) เป็นต้น

4. สภาพอากาศ

การอยู่ในสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น จนผิวพยายามที่จะเร่งการผลิตซีบัมออกมาเพื่อรักษาสมดุลผิว โดยพบว่าสภาพอากาศที่มีผลทำให้เกิดหน้ามันมากที่สุด คือ อากาศร้อนชื้น เพราะเป็นสภาพอากาศที่ร่างกายจะขับเหงื่อออกมาพร้อมกับน้ำมัน

5. การดูแลผิวหน้าผิดวิธี

ผิวหน้าแต่ละรูปแบบจะมีวิธีการดูแลผิวที่แตกต่างกัน โดยการล้างหน้าบ่อยเกินไป จะทำให้น้ำมันที่ถูกผลิตออกมาเพื่อสร้างความชุ่มชื้นให้กับผิวถูกชะล้างออกจนหมด ผิวจึงต้องเร่งผลิตน้ำมันออกมาเพื่อทดแทนน้ำมันเดิมที่เสียไป

6. พฤติกรรมการใช้ชีวิต

พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่หลายคนคุ้นชินอาจเป็นต้นเหตุของการเกิดผิวมันได้ เช่น การรับประทานอาหารที่มีความมันหรือปริมาณน้ำตาลสูง จะไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตอินซูลินมากขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่อการทำงานของต่อมไขมัน

รวมถึงปัญหาความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์ ก็ทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะไม่สมดุลแล้วนำไปสู่การทำงานที่ผิดปกติของฮอร์โมนได้ ซึ่งอาจทำให้ต่อมไขมันทำงานหนักขึ้นจนมีผิวหน้ามันมากกว่าปกติ

ลักษณะของผิวหน้ามัน

ลักษณะของผิวหน้ามัน สามารถสังเกตได้ง่ายๆ คือ หน้าจะมีความมันวาว เมื่อสัมผัสที่ผิวจะให้ความรู้สึกเหมือนมีน้ำมันเคลือบอยู่ด้านบน รวมถึงหลังจากล้างหน้าประมาณ 1-2 ชั่วโมง ก็จะเริ่มกลับมามีความมันอีกครั้ง 

โดยผู้ที่มีปัญหาหน้ามันมักมีปัญหารูขุมขนกว้างร่วมด้วย เนื่องจากรูขุมขนต้องขยายตัวเพิ่มขึ้นเพื่อขับน้ำมันส่วนเกินออกมา ผู้ที่มีปัญหาหน้ามันจึงมีแนวโน้มเป็นสิวง่ายและเกิดปัญหารูขุมขนกว้างได้มากกว่าผู้ที่มีผิวประเภทอื่นๆ

ซึ่งบริเวณ T-zone หรือ บริเวณหน้าผาก จมูก และคาง เป็นบริเวณที่มักจะมีน้ำมันมากกว่าบริเวณอื่นๆ เนื่องจากมีต่อมไขมันมากกว่า ในบางรายอาจเกิดความมันเฉพาะบริเวณ T-zone ได้ หากผิวบริเวณอื่นๆ ไม่พบความผิดปกติใดๆ การมีผิวแบบนี้จะเรียกว่า “ผิวผสม”

ความแตกต่างของผิวหน้ามันและผิวประเภทอื่นๆ

โดยทั่วไปแล้วผิวของคนเราสามารถแบ่งออกได้ 4 ประเภท ได้แก่ ผิวปกติ ผิวมัน ผิวแห้ง ผิวผสม ซึ่งผิวแต่ละประเภทมีลักษณะแตกต่างกัน ดังนี้

  • ผิวปกติ เป็นสภาพผิวที่ดีที่สุด เพราะกระบวนการสร้างความชุ่มชื้นให้ผิวอยู่ในภาวะสมดุล คนที่มีผิวรูปแบบนี้จึงมีรูขุมขนขนาดเล็ก ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส รวมทั้งผิวจะไม่แห้งหรือมันมากเกินไป แต่อาจเกิดความมันขึ้นได้บ้างในบริเวณ T-zone
  • ผิวมัน เป็นสภาพผิวที่พบได้มาก เกิดจากการที่กระบวนการสร้างความชุ่มชื้นให้ผิวเสียสมดุล จนต้องผลิตน้ำมันออกมาทดแทน ในผู้ที่มีผิวรูปแบบนี้จึงมีน้ำมันเคลือบทั่วใบหน้า โดยความมันสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ระหว่างวันร่วมกับการมีใบหน้าหมองคล้ำ แต่มักจะดีขึ้นเองในช่วงก่อนเข้านอนและหลังล้างหน้า
  • ผิวแห้ง เกิดจากกระบวนการสร้างความชุ่มชื้นให้ผิวเสียสมดุล ทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมาได้น้อยกว่าปกติ จึงเกิดความรู้สึกผิวแห้งตึง ลอกตัวเป็นขุยหรือเกล็ด สีผิวไม่สม่ำเสมอ โดยผู้ที่มีผิวแห้งจะไม่มีความมันเกิดขึ้นบริเวณใดของผิวหน้าเลย
  • ผิวผสม เป็นอีกหนึ่งลักษณะผิวที่พบได้บ่อย เกิดจากความผิดปกติในการสร้างความชุ่มชื้นให้กับผิวเหมือนกับผิวมันและผิวแห้ง เพียงแต่ผิวประเภทนี้ ต่อมไขมันในแต่ละบริเวณจะตอบสนองต่างกัน จึงมีผิวมันและผิวแห้งในบริเวณที่แตกต่างกัน ซึ่งบริเวณที่มักเกิดความมันคือบริเวณ T-zone ส่วนบริเวณที่มักจะมีผิวแห้ง คือ แก้ม กราม และตามแนวไรผม

หน้ามันส่งผลอะไรบ้าง?

หน้ามัน เป็นหนึ่งในความผิดปกติของระบบการทำงานของผิวหน้า เมื่อผิวเสียสมดุลไปแล้วจึงทำให้เกิดปัญหาผิวอื่นๆ ตามมาได้ง่าย โดยปัญหาแรกที่สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน คือ ผู้ที่มีหน้ามันจะมีรูขุมขนกว้างขึ้น เนื่องจากรูขุมขนจะต้องขยายตัวออกเพื่อให้น้ำมันส่วนเกินระบายออกมาได้มากขึ้น

ยิ่งถ้าหากดูแลทำความสะอาดใบหน้าไม่ดีพอ รวมถึงเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่เหมาะกับสภาพผิวอาจยิ่งทำให้เกิดปัญหาสิวต่างๆ ตามมาได้ เช่น

  • สิวอุดตัน คือ สิวไม่อักเสบชนิดหนึ่งที่เกิดจากการจับตัวกันของสิ่งตกค้างบริเวณใต้ผิวหนังกับน้ำมันส่วนเกินของใบหน้า ทำให้เกิดเป็นตุ่มนูนขนาดเล็กที่ฝังตัวอยู่บนผิว เมื่อสัมผัสผิวจะรู้สึกถึงความไม่เรียบเนียน พบได้บ่อยๆ อยู่ 2 ประเภท คือ สิวอุดตันหัวดำ และ สิวอุดตันหัวขาว
  • สิวอักเสบ คือ สิวที่พัฒนามาจากสิวอุดตัน ที่จริงๆ ควรจะมีแค่สิ่งตกค้างใต้ผิวหนังและน้ำมันส่วนเกินเท่านั้น แต่กลับมีเชื้อแบคทีเรียเจือปนอยู่ในรูขุมขนด้วย ทำให้สิวชนิดนี้มีความรุนแรงมากกว่าสิวอุดตัน ในผู้ที่มีอาการอักเสบมากอาจทำให้มีสิวขนาดใหญ่ และสามารถสร้างความเจ็บปวดได้ แม้ไม่ใช้มือสัมผัส

วิธีรักษาหน้ามัน

การรักษาปัญหาหน้ามัน จะเน้นไปที่การฟื้นคืนสภาพผิวให้ค่อยๆ แข็งแรงขึ้น และกลับสู่ภาวะสมดุลตามธรรมชาติ ซึ่งถ้าหากต้องการให้เห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็วสามารถทำได้ดังนี้

1. การฉีดเมโสหน้าใส

การฉีดเมโสหน้าใส (Mesotherapy) คือ การใช้เข็มขนาดเล็กฉีดสารสกัดจากวิตามิน และสารสำคัญอื่นๆ เข้าไปที่ผิวชั้นกลาง ซึ่งเป็นชั้นที่มีคอลลาเจนและอีลาสตินอาศัยอยู่ ทำให้ตัวยาสามารถเข้าไปช่วยฟื้นบำรุงผิวได้อย่างล้ำลึก รวมทั้งกระตุ้นให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วผลัดตัวออกอีกด้วย

นอกจากการฉีดเมโสหน้าใสจะช่วยแก้ปัญหาหน้ามันแล้ว ยังสามารถแก้ปัญหาผิวอื่นๆ ควบคู่กันไปได้ โดย Better Me Clinic มีเมโสหน้าใสถึง 3 สูตรที่คุณไม่ควรพลาด

  • Meso Bright เป็นเมโสสูตรที่มี phytoHA ธรรมชาติจากพืช รวมทั้งวิตามิน แร่ธาตุที่สำคัญต่อผิวเป็นส่วนประกอบ จึงช่วยให้ผิวกลับมาชุ่มชื้น กระจ่างใส รวมทั้งยังช่วยลดเลือนริ้วรอยได้อีกด้วย
  • Meso Aura เป็นเมโสสูตรที่ใช้สารสกัดจากพืช นอกจากจะช่วยฟื้นฟูให้ผิวกลับเข้าสู่ภาวะสมดุลแล้ว เมโสสูตรนี้ยังช่วยให้รูขุมขนกระชับ ผิวกระจ่างใส รวมถึงช่วยลดจุดด่างดำจากสิวได้
  • Meso Glow Booster เป็นเมโสสูตรที่ใช้สารสกัดสำคัญหลายอย่าง เช่น สกัดสดจากรกแกะ (Placenta) หรือดีเอ็นเอของปลาแซลมอน ทำให้สูตรนี้เน้นไปที่การฟื้นฟูและซ่อมแซมผิวในระดับดีเอ็นเอ ช่วยให้รูขุมขนกระชับ จุดด่างดำและฝ้าดูจางลง และกระตุ้นให้ผิวดูโกลว์ ฉ่ำน้ำมากขึ้นด้วย

นอกจากนี้ที่ Better Me Clinic ยังมีบริการฉีดเมโสอื่นๆ ครอบคลุมทุกปัญหาผิว ไม่ว่าจะเป็นบริการมาเด้คอลลาเจน เมโสชาแนล รีจูรัน และเอ็กโซโซม เป็นต้น

2. การทำทรีตเมนต์

การทำทรีตเมนต์ คือ การเติมสารอาหารให้กับผิวหน้าโดยตรงผ่านเทคนิคต่างๆ การทำหัตถการแต่ละครั้งสามารถเลือกที่จะดูแลปัญหาผิวด้านเดียว หรือหลายๆ ด้านพร้อมกันก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิว ความต้องการ และการประเมินของแพทย์ในแต่ละบุคคล

ในผู้ที่มีหน้ามัน Better Me Clinic ขอแนะนำ Golden Treatment ทรีตเมนต์ที่มีส่วนผสมของทองคำบริสุทธิ์ ที่จะช่วยฟื้นฟูและทำให้รูขุมขนกลับมากระชับขึ้นอีกครั้ง นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวกระจ่าง แลดูสุขภาพดีอีกด้วย

3. การดริปวิตามิน

การดริปวิตามิน (Vitamin Drip หรือ Intravenous Therapy) คือ การให้สารน้ำที่มีส่วนประกอบของวิตามิน สารอาหาร และแร่ธาตุต่างๆ ที่ร่างกายต้องการผ่านทางหลอดเลือดดำ ซึ่งการดริปวิตามินนอกจากจะช่วยให้ผิวกลับมาแข็งแรงแล้ว ยังช่วยเสริมสุขภาพด้านอื่นๆ อีกด้วย

โดย Better Me Clinic มีสูตรวิตามินที่ช่วยให้ผิวกลับมาแข็งแรงและกระจ่างใสขึ้นมากถึง 3 สูตร ได้แก่

  • Sexy White Drip ที่ประกอบด้วยวิตามินซีเข้มข้น และแร่ธาตุที่จำเป็นอื่นๆ
  • Super Aura Drip ที่ประกอบด้วยวิตามินซี วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 รวมทั้งกรดอะมิโนเข้มข้น
  • Extreme Aura Drip ที่ประกอบด้วยวิตามินซี วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 รวมทั้งกรดอะมิโนและสารกลูตาไธโอนเข้มข้น

ถึงแม้การดริปวิตามินจะเป็นวิธีที่ง่าย รวดเร็ว และเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจนเมื่อเข้ารับหัตถการอย่างต่อเนื่อง แต่ก่อนรับบริการควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจทำทุกครั้ง เพื่อลดโอกาสในการเกิดผลแทรกซ้อนอื่นๆ

สกินแคร์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหน้ามัน

สกินแคร์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหน้ามันจะเน้นไปที่การควบคุมความมัน ควบคู่ไปกับการรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว ซึ่งนอกจากการบำรุงแล้ว ผู้ที่มีปัญหาหน้ามันยังต้องใส่ใจในเรื่องของการทำความสะอาดหน้าเพื่อลดการสะสมของคราบมันและแบคทีเรียด้วย โดยส่วนผสมในสกินแคร์ที่ช่วยลดความมันได้มีดังนี้

  • เรตินอล (Retinol) เป็นอนุพันธ์ของกรดวิตามินเอ มีคุณสมบัติในการลดการผลิตน้ำมันของต่อมไขมัน ช่วยให้ความมันบนใบหน้าลดลง อีกทั้งยังช่วยลดเลือนริ้วรอยและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแลดูกระชับ
  • กรดอัลฟาไฮดรอกซี (Alpha Hydroxy Acids) หรือ AHA หรือ กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) เป็นกรดอ่อนๆ จากผลไม้ มีคุณสมบัติในการควบคุมความมัน และเร่งการผลัดเซลล์ผิวเก่า ช่วยให้ผิวกลับสู่สภาพปกติและดูกระจ่างใสขึ้น
  • กรดเบต้าไฮดรอกซี (Beta Hydroxy Acid) หรือ BHA หรือ กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) มีฤทธิ์ในการขจัดน้ำมันและเซลล์โปรตีนบนผิวหนัง ช่วยให้อาการหน้ามันลดลง รวมถึงช่วยลดโอกาสเกิดการอุดตันในรูขุมขน แต่การใช้ BHA ที่เข้มข้นมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองได้
  • วิตามินบี 3 หรือ ไนยาซินนาไมด์ (Niacinamide) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่ง ที่มีคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว กระตุ้นให้ผิวแข็งแรงและกลับสู่สภาพปกติ ที่สำคัญยังเป็นตัวที่อ่อนโยนต่อผิวมากกว่าผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA และ BHA ด้วย
  • ซิงค์ กลูโคเนต (Zinc Gluconate) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่ง ที่มีคุณสมบัติในการรักษาสมดุลของเอ็นไซม์ต่างๆ บนผิว ช่วยให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันได้ลดลง รวมถึงช่วยปลอบประโลมผิวอีกด้วย

นอกจากนี้แล้ว ผู้ที่มีผิวหน้ามันยังควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์หรือเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมันเป็นหลัก เพราะจะทำให้ผิวมีการสะสมของน้ำมันมากเกินไป

วิธีป้องกันหน้ามัน

สำหรับผู้ที่มีปัญหาหน้ามันหรือต้องการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหานี้ Better Me Clinic ขอแนะนำให้ปฏิบัติตามวิธีต่างๆ ดังนี้

1. ล้างหน้าอย่างถูกวิธี

การล้างหน้านับเป็นเรื่องที่ดีเพราะจะช่วยให้แบคทีเรียและสิ่งสกปรกต่างๆ ที่ตกค้างบนผิวหลุดออก แต่ทั้งนี้ก็ไม่ควรล้างหน้าบ่อยเกินไป ควรล้างหน้าเพียง 2 ครั้ง ในตอนเช้าและเย็นเท่านั้น เพราะการล้างหน้าบ่อยๆ จะทำให้น้ำมันที่ถูกผลิตออกมาเพื่อสร้างสมดุลผิวถูกชะล้างออกไปด้วย

รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ใช้ควรเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยน และมีส่วนช่วยในการขจัดความมันบนใบหน้า ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าแรงๆ เพราะนอกจากผ้าขนหนูจะเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียแล้ว การเช็ดหน้าแรงๆ ยังเป็นการรบกวนให้ผิวเกิดการระคายเคือง ทางที่ดีควรซับหน้าเบาๆ ด้วยกระดาษสำหรับการซับหน้า

2. ปกป้องผิวจากแสงแดด

เนื่องจากในแสงแดดจะมีรังสีอัลตราไวโอเลต ที่มีอนุภาคในการทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในผิว นอกจากจะทำให้ผิวเสื่อมสภาพได้อย่างรวดเร็วแล้ว ยังทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น จนร่างกายจะต้องเร่งให้มีการผลิตน้ำมันออกมามากยิ่งขึ้น

ดังนั้นไม่ว่าจะอยู่ในที่ร่มหรือกลางแจ้งก็ควรทาครีมกันแดดที่มี SPF 50 PA+++ เพื่อป้องกันแสงแดด และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เนื้อครีมมีความเบาบาง ซึมง่าย เช่น ครีมกันแดดเนื้อเจล หรือครีมกันแดดน้ำแร่ เพราะจะทำให้รู้สึกสบายผิว และยังป้องกันการเกิดการอุดตันของรูขุมขนอีกด้วย

3. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิว

เนื่องจากผู้ที่มีผิวมันนั้นมีน้ำมันบนใบหน้ามากอยู่แล้ว ผลิตภัณฑ์ที่ใช้จึงไม่ควรมีส่วนผสมของน้ำมัน เนื่องจากจะทำให้รู้สึกไม่สบายผิว อีกทั้งยังทำให้ใบหน้ามีน้ำมันเคลือบมากเกินไปด้วย

ผู้ที่มีผิวมันควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก เพราะจะให้สัมผัสที่เบาบางกว่า รวมถึงสามารถซึมลงสู่ผิวได้ง่ายกว่า

โดยผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักมักจะมีเนื้อครีมที่ใส เหลว โดยอาจมีคำว่า Aqua อยู่บนผลิตภัณฑ์ ถึงแม้ผลิตภัณฑ์จะมีเนื้อบางเบาแต่ก็สามารถให้ความชุ่มชื้นกับผิวไม่ต่างกับผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อครีมเข้มข้น

จะเห็นได้ว่าการดูแลผิวมันนั้นทำได้ไม่ยาก แต่จะต้องอาศัยวินัยและใช้เวลานาน ถ้าคุณอยากรักษาปัญหาหน้ามันแบบฉับไว! ตรงจุด! สามารถติดต่อเข้ามาได้ที่ Better Me Clinic เพื่อให้คุณหมอประเมินสภาพผิวและแนะนำหัตถการที่เหมาะสมแบบเคสบายเคส

หากสนใจ สามารถติดต่อนัดหมายได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-059-8118, 088-603-2641 หรือไลน์ @bettermeclinic ปรึกษาคุณหมอฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย รับรองว่าคุณจะมีผิวสวยๆ กลับบ้านไปอย่างแน่นอน!

  • Better Me Clinic, ทรีตเมนต์นวดหน้าใส สวยได้ ไม่ต้องง้อเข็ม (https://bettermeclinicofficial.com/aesthetic/skin-brightening/treatment/), 12 มกราคม 2567.
  • Bioderma, 10 วิธีแก้หน้ามัน พร้อมตอบคำถาม หน้ามันใช้อะไรดี? (https://www.bioderma.co.th/your-skin/combination-oily-acne-prone-skin/how-to-take-care-oily-skin), 12 มกราคม 2567.
  • HDmall, ฉีดวิตามินผิวดีแค่ไหน? บำรุงสุขภาพอย่างไร อ่านได้ที่นี่ (https://hdmall.co.th/c/iv-drip), 12 มกราคม 2567.
  • SkinX, ผิวหน้ามัน ปัญหาผิวหนังที่พบได้ทั่วไป พร้อมวิธีการดูแลผิวหน้า (https://skinx.app/content/skin/oily-skin), 12 มกราคม 2567.
  • SkinX, ทำความรู้จักกับผิวหน้า 5 ประเภท ตัวคุณเองมีผิวหน้าแบบไหนกันแน่ (https://skinx.app/content/skin/know-your-skin), 12 มกราคม 2567.
  • Larocheposay, สิวฮอร์โมน (https://www.larocheposay-th.com/articles/hormonal-acne), 12 มกราคม 2567.

เว็บไซต์นี้ มีการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ (Cookies) เพื่อมอบบริการที่ดีที่สุดสำหรับคุณ