fbpx

🔥FREE! Schedule a 3D Facial Design consultation with Dr.Chanya only this month 🇺🇸 🇰🇷 🔥

หาต้นตอของการเกิดรอยสิว พร้อมวิธีรักษารอยสิว

หาต้นตอของการเกิดรอยสิว พร้อมวิธีรักษารอยสิว
หาต้นตอของการเกิดรอยสิว พร้อมวิธีรักษารอยสิว

สิวไปแล้วแต่รอยสิวยังอยู่! รอยสิวปัญหาที่กวนใจของใครหลายๆ คน เพราะถึงแม้จะไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ ต่อร่างกาย แต่ก็เป็นปัญหาที่หายไปได้ยาก ในบางรายอาจใช้เวลาหลายเดือนหรือนานร่วมปี แต่รู้หรือไม่ว่าการรักษารอยสิวอย่างถูกวิธีจะช่วยให้รอยสิวหายไปได้ในเวลาไม่กี่สัปดาห์!

วันนี้ Better Me Clinic จะพาทุกคนมาหาคำตอบตั้งแต่ต้นตอของการเกิดสิว ไปจนถึงวิธีการรักษาที่ช่วยกำจัดรอยสิวได้อย่างอยู่หมัด ร่วมหาคำตอบได้ที่บทความนี้!

รอยสิวมีกี่ประเภท? แต่ละประเภทเกิดจากอะไร?

รอยสิว เป็นร่องรอยที่หลงเหลืออยู่บนผิวหนังหลังจากที่สิวหายแล้ว ส่วนมากมักมีสาเหตุมาจากการกด แคะ แกะ เกา ทำให้เซลล์เนื้อเยื่อและเส้นเลือดฝอยบริเวณนั้นแตกออกจนเกิดการระคายเคืองและเกิดรอยขึ้น อย่างไรก็ตามรอยสิวมีหลายประเภท แต่ละประเภทก็มีลักษณะและสาเหตุการเกิดที่แตกต่างกันไป ดังนี้

1. รอยดำ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation)

รอยดำจากสิว มีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาล สีเทา ไปจนถึงสีดำ ส่วนมากมักเกิดขึ้นหลังการเกิดสิวอักเสบ เนื่องจากในภาวะที่เกิดการอักเสบของต่อมไขมันนอกจากจะทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดแล้ว ร่างกายยังกระตุ้นการผลิตเมลาโนไซต์ (Melanocytes) ซึ่งมีหน้าที่ผลิตเมลานินให้มีจำนวนเพิ่มขึ้น ทำให้เมื่อผิวบริเวณนี้โดนแสงแดดก็จะยิ่งผลิตเมลานินออกมามาก จนเกิดเป็นรอยดำที่สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน

ปัญหารอยดำจากสิวพบได้มากในผู้ที่มีผิวสีเข้ม เนื่องจากผู้ที่มีผิวสีเข้มจะมีการผลิตเม็ดสีออกมาเพื่อปกป้องผิวมากกว่าผู้ที่มีผิวสีอ่อน รวมทั้งในผู้ที่มีผิวสีเข้มจะมีแนวโน้มที่เมลานินจะกระจายตัวอยู่ที่ผิวชั้นนอกของผิวหนัง (Epidermis) ได้มากกว่า รอยดำจากสิวจึงมีสีเข้มและชัดเจน

2. รอยแดง (Post-Inflammatory Erythema)

รอยแดงจากสิว มีลักษณะเป็นจุดสีชมพู สีม่วง ไปจนถึงสีแดง โดยจะเกิดขึ้นในขณะที่เป็นสิวหรือหลังจากรักษาสิวหายแล้ว ส่วนมากมักเกิดจากการที่ผิวหนังอักเสบ ระบบภูมิคุ้มกันจึงลำเลียงเลือดไปที่บริเวณนั้นเพื่อฟื้นฟูและรักษาอาการอักเสบ การส่งเลือดไปยังบริเวณนั้นเป็นจำนวนมากเลยทำให้หลอดเลือดเกิดการขยายตัว จนเกิดเป็นรอยแดงที่มาจากการคั่งของเลือด ซึ่งปัญหารอยแดงจากสิวนี้พบได้มากสุดในผู้ที่มีผิวบาง

3. รอยหลุมสิว (Atrophic Scars)

รอยหลุมสิว เป็นรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นจากสิวอักเสบ โดยมักจะเกิดจากสิวที่มีขนาดใหญ่ อย่างสิวหัวช้าง ยิ่งสิวมีขนาดใหญ่มากเท่าไหร่ก็จะยิ่งทำให้ผิวในบริเวณนั้นถูกเอนไซม์กัดกินได้ลึกมากเท่านั้น ซึ่งรอยหลุมสิวสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้

  • หลุมสิวประเภท Rolling Scar หลุมสิวประเภทนี้จะมีก้นสิวลึกและกลมมนคล้ายก้นของกระทะ มีเนื้อเยื่อพังผืดดึงรั้งใต้ผิว แต่มักจะเป็นเพียงรอยตื้นๆ เท่านั้น ทำให้หลุมสิวประเภทนี้เป็นหลุมสิวที่รักษาได้ง่ายที่สุด
  • หลุมสิวประเภท Boxcar Scar มีลักษณะคล้ายกล่อง คือ ปากหลุมสิวกว้างและก้นหลุมมีความลึกเท่ากัน สังเกตเห็นขอบหลุมได้อย่างชัดเจน สามารถเป็นได้ทั้งรอยตื้นและรอยลึก
  • หลุมสิวประเภท Ice Pick Scars เป็นหลุมสิวที่มีรอยลึก ปากแผลแคบ และขอบแผลไม่เรียบเนียน ก้นของแผลมีลักษณะคล้ายกรวย สามารถรักษาได้ยากและใช้เวลาในการรักษานานกว่าหลุมสิวประเภทอื่นๆ

วิธีรักษารอยสิวด้วยตัวเอง

ในผู้ที่มีรอยสิวไม่มากนักสามารถรักษารอยสิวด้วยตัวเองได้ แต่ก่อนที่จะรักษารอยสิวอาจเน้นไปที่การรักษาสิวอักเสบให้หายเสียก่อน เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการรักษาสิวและรอยสิวมีส่วนประกอบจากสารเคมีหลายตัว การรักษาสิวไปพร้อมๆ กับรอยสิวเลยอาจทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาทั้งสองลดลง

อย่างไรก็ตามวิธีรักษารอยสิวด้วยตัวเองที่ Better Me Clinic แนะนำ สามารถใช้ตัวยาหลายชนิดร่วมกันได้ โดยบางตัวยาสามารถรักษาได้ทั้งสิวอักเสบและรอยสิว รวมถึงวิธีที่แนะนำยังสามารถปฏิบัติร่วมกันได้อีกด้วย ซึ่งวิธีรักษาสิวด้วยตัวเองมีดังนี้

1. การใช้ยาทาลดรอยสิว

ยาทาลดรอยสิวมีให้เลือกใช้หลายเนื้อสัมผัสเพื่อให้เหมาะกับสภาพผิวแต่ละประเภท ทั้งครีม โลชั่น และเจล โดยยาทาลดรอยสิวเหล่านี้จะมีคุณสมบัติที่คล้ายคลึงกัน คือ ช่วยปรับสีผิวบริเวณที่มีรอยสิวให้ดูกระจ่างใส ปรับรอยสิวให้ดูจางลงด้วยการเข้าไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase Enzyme Inhibitor) ซึ่งส่วนประกอบที่พบได้ในยาลดรอยสิวมีดังนี้

  • วิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพในการลดการอักเสบและปรับสภาพผิวให้ชุ่มชื้น ช่วยให้รอยแดงขณะเกิดสิวดูจางลง รวมถึงวิตามินซียังสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ยับยั้งการผลิตเมลานิน ทำให้รอยดำจากสิวดูจางลง และหลุมสิวดูตื้นขึ้น
  • ซิงค์ซัลเฟต (Zinc Sulfate) เป็นเกลือแร่ชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบและช่วยสมานแผล ทำให้รอยแดงขณะเกิดสิวดูจากลง รวมถึงช่วยทำให้หลุมสิวดูตื้นขึ้นอีกด้วย
  • อาร์บูติน (Arbutin) มีฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสซึ่งเป็นเอนไซม์ที่กระตุ้นการผลิตเม็ดสีเมลานิน เมื่อจำนวนเมลานินลดลง จุดด่างดำต่างๆ จึงจางลงไปด้วย นอกจากนี้อาร์บูตินยังมีความอ่อนโยนมาก จึงเหมาะกับทุกสภาพผิวโดยเฉพาะผิวแพ้ง่าย
  • กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid) มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ทำให้มีประสิทธิภาพอย่างมากในการกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว หลังใช้รอยสิวที่อยู่บนผิวชั้นบนจะค่อยๆ หลุดลอกออกและดูจางลง นอกจากนี้กรดอะซีลาอิกยังมีฤทธิ์ช่วยต้านการอักเสบและยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย P. acnes จึงช่วยลดโอกาสในการเกิดสิวอักเสบขึ้นใหม่ได้อีกด้วย
  • กรดโคจิก (Kojic Acid) มีฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสเช่นเดียวกับกรดอาร์บูติน รวมถึงช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย สามารถรักษาสิวไปพร้อมๆ กับการรักษารอยสิวได้ โดยกรดโคจิกเหมาะสำหรับผิวทุกประเภท แต่จะให้ผลลัพธ์ที่ดีในผู้ที่มีผิวมัน
  • ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) มีฤทธิ์ในต้านการอักเสบ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และกักเก็บความชุ่มชื้น ทำให้หลังใช้ไนอะซินาไมด์นอกจากจะช่วยให้รอยดำรอยแดงจากสิวลดลงแล้ว ยังช่วยลดการอักเสบ ไปพร้อมๆ กับช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้นอีกด้วย

2. การรับประทานอาหารเสริมลดรอยสิว

เราสามารถรักษารอยสิวได้ด้วยการรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริม โดยอาหารเสริมที่มีคุณสมบัติลดรอยสิวมีทั้งประเภทยาที่ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์ และประเภทอาหารเสริมที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป หากต้องการเลือกซื้อด้วยตนเองอาจเลือกอาหารเสริมที่มีสารประกอบสำคัญ ดังนี้

  • วิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกาย ทำให้ผิวแข็งแรงและกระจ่างใสขึ้น รอยดำ รอยแดงจากสิวจึงดูจางลง รวมถึงวิตามินซียังมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนทำให้หลุมสิวดูตื้นขึ้นอีกด้วย
  • วิตามินอี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกชนิดหนึ่ง ที่นอกจากจะทำให้ผิวแข็งแรงขึ้นจนยากต่อการรบกวนจากมลภาวะแล้ว วิตามินอียังกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ทำให้รอยดำรอยแดงจากสิวดูจางลงด้วย
  • ไฮยาลูรอน เป็นองค์ประกอบของโปรตีนใต้ชั้นผิวที่มีส่วนช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและยืดหยุ่นมากขึ้น การที่ผิวมีปริมาณไฮยาลูรอนมากพอจะช่วยทำให้ผิวเต่งตึงและเติมเต็มหลุมสิวให้ดูตื้นขึ้นได้
  • สารสกัดจากเมล็ดองุ่น มีสรรพคุณในการยับยั้งการผลิตเม็ดสีเม็ดลานินขึ้นมาใหม่ เมื่อรับประทานอาหารเสริมชนิดนี้ผิวจึงจะดูกระจ่างใสขึ้น รวมถึงรอยดำรอยแดงจากสิวดูจางลง

อย่างไรก็ตามการรับประทานอาหารเสริมอาจไม่ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วนัก อีกทั้งยังเป็นวิธีที่เน้นการปรับสภาพผิวโดยรวมมากกว่าการลดรอยสิวเฉพาะจุด หากต้องการให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็วควรทำร่วมกับการรักษารอยสิวด้วยวิธีอื่นๆ

3. สครับผิว

การสครับผิวเป็นหนึ่งในวิธีกำจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพออกด้วยวิธีทางกายภาพ การสครับผิวจะช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอ รอยสิวดูจางลง และลดโอกาสเกิดริ้วรอย อย่างไรก็ตามการสครับผิวไม่ควรทำเกินสัปดาห์ละ 2 ครั้ง รวมถึงควรเลือกใช้สูตรที่เหมาะกับผิว เพราะการใช้สูตรที่มีความเข้มข้นมากเกินไปอาจก่อให้เกิดการระคายเคือง ทำให้ผิวบางลง และก่อให้เกิดสิวได้

ปรึกษาหมอชัญญาโดยตรง
ปรึกษาหมอชัญญาโดยตรง

วิธีรักษารอยสิวอย่างเร่งด่วน

การรักษารอยสิวด้วยตนเองอาจต้องอาศัยวินัยและใช้เวลานาน ทำให้หลายคนล้มเลิกการรักษารอยสิวไปก่อนที่จะเห็นผล เพราะฉะนั้นการเข้าพบแพทย์เพื่อรักษารอยสิวจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์หลังการรักษาอย่างรวดเร็ว โดยการรักษารอยสิวที่ Better Me Clinic แนะนำมีดังนี้

1. ผลัดเซลล์ผิวด้วยการใช้สารเคมี

การผลัดเซลล์ผิวด้วยการใช้สารเคมี เป็นกระบวนการที่ใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ เช่น กรดอัลฟาไฮดรอกซี (Alpha Hydroxy Acids) หรือ AHA และกรดเบต้าไฮดรอกซี (Beta Hydroxy Acid) หรือ BHA เข้าไปกำจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดออกและกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ รวมทั้งยังช่วยให้รูขุมขนไม่อุดตัน จึงมีโอกาสที่จะเกิดสิวใหม่ขึ้นได้ยาก

ที่ Better Me Clinic เรามีการผลัดเซลล์ผิวด้วยสูตร Very Superficial Peeling เป็นการผลัดเซลล์ผิวด้วยการลอกผิวหนังชั้นนอกของชั้นหนังกำพร้าออก วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาปัญหารอยสิวเบื้องต้น แต่หากมีปัญหารอยสิวฝังลึกอาจเลือกการผลัดเซลล์ผิวด้วยสูตรอื่นๆ เช่น Superficial Peeling หรือ Medium Peeling

2. การฉีดเมโสหน้าใส

การฉีดเมโสหน้าใส (Mesotherapy) คือ การใช้เข็มขนาดเล็กฉีดสารสกัดจากวิตามินและสารสำคัญอื่นๆ เข้าไปที่ผิวชั้นกลาง ซึ่งเป็นชั้นที่มีคอลลาเจนและอีลาสตินอาศัยอยู่ ทำให้ตัวยาสามารถเข้าไปช่วยฟื้นบำรุงผิวได้อย่างล้ำลึก รวมถึงช่วยกระตุ้นให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วผลัดตัวออก

หากคุณกำลังมองหาเมโสที่มีคุณสมบัติในการรักษารอยสิว Better Me Clinic ขอแนะนำ Meso Aura เป็นสูตรที่ใช้สารสกัดจากพืช โดยเมโสสูตรนี้จะช่วยทำให้ผิวหน้ากลับมากระจ่างใส ลดจุดด่างดำจากสิว อีกทั้งยังช่วยฟื้นฟูผิวที่แห้งหรือมันมากเกินไปให้กลับเข้าสู่ภาวะสมดุลอีกด้วย

3. การเลเซอร์รักษารอยสิว

เลเซอร์รักษารอยสิว ทำได้โดยการยิงพลังงานเลเซอร์ลงไปบนผิวเพื่อเข้าไปจับกับเม็ดสีเมลานิน ทำให้เม็ดสีแตกตัวออก ก่อนจะถูกเม็ดเลือดขาวในร่างกายจับและกำจัดออกไปตามกระบวนการกำจัดของเสียของร่างกาย

การทำเลเซอร์หน้าใสจะช่วยย่นระยะเวลาในการผลัดเซลล์ผิวและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวรวมถึงคอลลาเจนใหม่ขึ้นมาทดแทน ทำให้นอกจากรอยสิวจะลดลงแล้ว ผิวหน้ายังดูกระจ่างใส แลดูอิ่มฟูมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันจะมีเลเซอร์หลากหลายชนิดที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาผิวในชั้นผิวที่แตกต่างกัน

หากคุณกำลังมองหาเทคโนโลยีที่สามารถแก้ปัญหารอยสิวและหลุมสิวได้อย่างล้ำลึกภายในเครื่องเดียว Better Me Clinic ขอแนะนำ Fractional CO2 เทคโนโลยีที่ใช้คลื่นแสงในช่วง 10,600 นาโนเมตร และปล่อยพลังงานออกมาเป็นจุดเล็กๆ บนผิวหนัง ทำให้ผิวบริเวณที่มีปัญหาได้รับพลังงานอย่างเต็มที่และแม่นยำ นอกจากจะมีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหารอยดำ รอยแดงจากสิวแล้ว ยังสามารถกระตุ้นคอลลาเจนขึ้นเพื่อเติมเต็มหลุมสิวทั้ง 3 รูปแบบได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

อย่างไรก็ตามการรักษารอยสิวด้วยเลเซอร์ ไม่ว่าจะรับบริการด้วยเทคโนโลยีใด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพควรรักษาต่อเนื่องประมาณ 4-5 ครั้ง ทุกๆ 3-4 สัปดาห์

4. การใช้แสง LED (Light Emitting Diode)

แสง LED เป็นแสงที่มีความหลากหลายของช่วงแสง ซึ่งแต่ละความเข้มข้นจะมีคุณสมบัติในการดูแลรักษาผิวที่แตกต่างกัน 

ในผู้ที่มีรอยแดงจากสิวอาจเลือกรักษาด้วยแสงสีเขียวที่จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดได้ ส่วนผู้ที่ต้องการรักษารอยดำจากสิวรวมถึงฝ้า กระ อาจเลือกรักษาด้วยแสงสีเหลืองที่มีคุณสมบัติในการปรับเม็ดสี และสุดท้ายหากต้องการรักษาหลุมสิวให้ดูตื้นขึ้น ควรเลือกใช้แสงสีแดงที่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

5. การฉีดฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ เป็นสารเติมเต็มชนิดหนึ่งที่มีส่วนประกอบสำคัญอย่างสารไฮยาลูรอน ซึ่งมักนำมาแก้ปัญหาริ้วรอยร่องลึก ปัญหาใต้ตา รวมถึงนำมาใช้ในการปรับรูปหน้าและแก้ปัญหารูปทรงปาก

เมื่อตัวยาจับกับน้ำจะทำให้ฟิลเลอร์มีลักษณะคล้ายเจล ช่วยเติมเต็มผิวในบริเวณต่างๆ ให้ดูเรียบเนียน และอิ่มฟูขึ้น การฉีดฟิลเลอร์จึงสามารถรักษาหลุมสิวได้ทุกประเภทและทำให้รอยหลุมสิวดูจากลง แต่จะเหมาะสำหรับผู้ที่มีหลุมสิวประเภท Rolling Scar มากที่สุด เพราะเป็นหลุมสิวตื้นๆ จึงเติมเต็มได้ง่าย

6. การทำ Microneeding

การทำ Microneeding เป็นการรักษาหลุมสิวด้วยการใช้เข็มขนาดเล็กทิ่มลงบริเวณที่มีปัญหา โดยมีความลึกราวๆ 1.5-2 มิลลิเมตร หรือขึ้นอยู่กับการประเมินสภาพผิวของแต่ละบุคคล วิธีนี้จะทำให้เนื้อเยื่อใต้ผิวบาดเจ็บเล็กน้อยและกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ขึ้นมาซ่อมแซม หลุมสิวจึงดูตื้นขึ้น รอยหลุมสิวดูจางลง

การทำ Microneeding เป็นวิธีรักษารอยสิวและหลุมสิวที่ไม่ต้องกังวลเรื่องสีผิวหรือการแพ้ยา แต่การทำ Microneeding อาจทำให้เกิดอาการแสบแดงได้ รวมถึงจะต้องทำกับแพทย์ที่มีความชำนาญเท่านั้น เพราะหากแพทย์ทิ่มเข็มลงไปไม่ลึกพอ อาจทำให้ไม่สามารถสังเกตเห็นผลลัพธ์หลังทำและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้

7. Morpheus8

Morpheus8 เป็นเทคโนโลยีรักษาผิวที่ส่วนมากมักถูกนำมาใช้ในการแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผิวไม่กระชับ โดยจะใช้เข็มขนาดเล็ก 24 เข็ม เจาะลงสู่ชั้นผิวแล้วปล่อยคลื่นวิทยุ (Radiofrequency) ลงไปซ่อมแซมผิว ทำให้ผิวเกิดการหดตัวและกระตุ้นให้เส้นใยคอลลาเจนจัดเรียงตัวใหม่

Morpheus8 จึงเป็นวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าได้อย่างหลากหลาย ทั้งช่วยยกกระชับ ปรับผิวหน้าให้ดูเรียบเนียน รักษารอยสิว ลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ อีกทั้งยังช่วยกระชับรูขุมขนและทำให้หลุมสิวตื้นขึ้นด้วย

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดรอยสิว

วิธีป้องกันการเกิดรอยสิวที่ดีที่สุดคือการดูแลผิวให้แข็งแรง เนื่องจากผิวที่แข็งแรงจะยากต่อการเกิดสิวและรอยสิว อย่างไรก็ตามหากมีสิวอยู่แล้ว การปฏิบัติดังนี้อาจช่วยลดโอกาสที่จะเกิดรอยสิวได้

  • หลีกเลี่ยงการบีบหรือกดสิวด้วยตนเอง เพราะอาจทำให้ผิวในบริเวณนั้นเกิดการอักเสบได้ รวมถึงการบีบสิวด้วยตนเองยังเพิ่มโอกาสที่จะทำให้เชื้อสิวลุกลามไปยังบริเวณใกล้เคียง ทำให้มีโอกาสเกิดรอยสิวเพิ่มมากขึ้น
  • หลีกเลี่ยงแสงแดด รังสียูวีในแสงแดดมีฤทธิ์ในการเป็นสารอนุมูลอิสระ เมื่อผิวสัมผัสกับแสงโดยตรงจึงอาจทำให้รอยดำจากสิวดูคล้ำขึ้น ดังนั้นหากจำเป็นต้องเผชิญกับแสงแดด ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 PA+++ หรือมากกว่าก่อนทุกครั้ง

รอยสิวหายได้เองไหม? หายได้ภายในกี่วัน?

ปกติแล้วรอยสิวจะค่อยๆ จางลงและหายได้เองตามธรรมชาติ แต่อาจจะต้องใช้เวลานานหลายเดือนหรือหลายปี 

สำหรับระยะเวลาที่ใช้เพื่อให้รอยสิวหายเองนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ชนิดของสิว โดยรอยดำมักจะจางลงเองภายใน 3-6 เดือน แต่บางกรณีอาจใช้เวลานานถึง 1 ปี รอยแดงจะจางลงเองภายใน 2-3 เดือน ส่วนหลุมสิวจะไม่สามารถหายเองได้ จึงจำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี

รักษารอยสิวที่ไหนดี?

จะเห็นได้ว่ารอยสิวสามารถจางลงและหายไปได้ยากหากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี ดังนั้นการเข้ารับบริการทางการแพทย์จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้รอยสิวลดลงอย่างเห็นผล

ถ้าคุณกำลังมองหาสถานที่ในการรักษารอยสิว ให้ Better Me Clinic by Dr. Chanya เป็นหนึ่งในทางเลือก เพราะเรามีบริการแก้ปัญหาผิวให้เลือกอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการผลัดเซลล์ผิว การฉีดเมโสหน้าใส การเลเซอร์รักษารอยสิว หรือการฉีดฟิลเลอร์ ทุกบริการเราให้บริการโดยแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น 

หากยังไม่มั่นใจว่าควรรักษารอยสิวด้วยวิธีใด สามารถติดต่อเข้ามาที่ Better Me Clinic by Dr. Chanya เพื่อให้คุณหมอประเมินสภาพผิวและแนะนำหัตถการที่เหมาะสมแบบเคสบายเคสได้เลย สามารถติดต่อนัดหมายได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-059-8118, 088-603-2641 หรือไลน์ @bettermeclinic ปรึกษาคุณหมอฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย รับรองว่าคุณจะมีผิวสวยๆ กลับบ้านไปอย่างแน่นอน!

  • Eucerin,หลุมสิวเกิดจากอะไร รักษาหลุมสิว วิธีไหนดี (https://www.eucerin.co.th/skin-concerns/acne-prone-skin/atrophic-scars), 29 เมษายน 2567.
  • HDmall, ลดรอยสิว ยาลดสิว vs เลเซอร์สิว วิธีไหนตอบโจทย์เราที่สุด? (https://hd.co.th/how-to-reduce-acne-how-to-compare-the-best), 29 เมษายน 2567.
  • HDmall, วิธีลดรอยสิวที่ได้ผลและปลอดภัย (https://hd.co.th/what-is-the-best-treatment-for-acne-scars), 29 เมษายน 2567.
  • Nivea, 10 วิธีรักษารอยสิว ลดรอยดำ รอยแดง จากสิวบนใบหน้า (https://www.nivea.co.th/advice/7-ways-to-treat-acne-scars), 29 เมษายน 2567.
  • Nivea, สาเหตุรอยสิว วิธีรักษารอยดำจากสิวอย่างไรให้หายขาด(https://www.nivea.co.th/advice/ways-to-treat-acne-scars-and-dark-spots), 29 เมษายน 2567.

เว็บไซต์นี้ มีการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ (Cookies) เพื่อมอบบริการที่ดีที่สุดสำหรับคุณ