กดสิวคืออะไร? สิวแบบไหนกดได้ กดสิวด้วยตัวเองส่งผลเสียอย่างไร?
สิว เป็นปัญหาผิวอย่างหนึ่งที่ใครหลายคนต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นสิวอุดตัน สิวอักเสบ หรือสิวหัวหนอง หนึ่งในวิธีการรักษาสิวที่หลายคนนิยมทำกันก็คือ การกดสิว แต่มีหลายคนที่กดสิวด้วยตัวเองแล้วทำให้สิวเห่อกว่าเดิม จากนั้นก็มีการบอกต่อกันปากต่อปากว่าการกดสิวเป็นเรื่องน่ากลัว แต่แท้จริงแล้วการกดสิวไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเสมอไปหากทำอย่างถูกวิธี
Better Me Clinic จึงจะพาทุกคนมารู้จักกับการกดสิวที่ถูกต้องกัน ตั้งแต่เรื่องสิวแบบไหนที่กดได้? สิวแบบไหนที่กดไม่ได้? กดสิวด้วยตัวเองส่งผลข้างเคียงอย่างไร? รวมถึงแนะนำวิธีรักษาสิวที่ถูกต้อง เพื่อให้ทุกท่านสามารถเลือกรักษาสิวด้วยวิธีกดสิวอย่างปลอดภัย ตามมาดูไปพร้อมกันเลย!
สิวคืออะไร
สิว (Acne) คือ ภาวะความผิดปกติบริเวณรูขุมขนและต่อมไขมันในรูขุมขน เมื่อเกิดความผิดปกติขึ้น รูขุมขนจะอุดตันจนเกิดเป็นสิว ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นติดเชื้อและอักเสบจนกลายเป็นสิวอักเสบได้
สิวมักพบในผู้หญิงช่วงอายุ 14-17 ปี และผู้ชายช่วงอายุ 16-19 ปี แต่บางคนจะเป็น ๆ หาย ๆ จนอายุ 40 ปี ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดสิว
สิวมีกี่ประเภท
สิวแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ สิวอักเสบและสิวอุดตัน แต่ละกลุ่มสามารถแยกย่อยไปได้อีก ดังต่อไปนี้
1. สิวอักเสบ
สิวอักเสบ เกิดขึ้นเมื่อมีแบคทีเรียและความมันเข้ามาอุดตันรูขุมขน จึงทำให้เกิดการอักเสบและบวมแดง โดยสิวอักเสบสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ได้แก่
- สิวหัวหนอง (Pustules) สิวหัวหนองเป็นสิวอักเสบที่มีลักษณะเป็นตุ่มหนองสีขาวหรือเหลือง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่รูขุมขนอุดตัน สิวหัวหนองจะมีขนาดตั้งแต่เล็กไปจนถึงใหญ่ และอาจมีอาการเจ็บปวดหรืออักเสบได้
- สิวหัวแดง (Papules) สิวหัวแดงเป็นสิวอักเสบที่มีลักษณะเป็นตุ่มสีแดงขนาดเล็ก เกิดจากการอักเสบของรูขุมขนที่อุดตัน สิวหัวแดงมักไม่มีความเจ็บปวด แต่สามารถกลายเป็นสิวหัวหนองได้หากไม่ได้รับการรักษา
- สิวหัวช้าง (Nodules) สิวหัวช้างเป็นสิวอักเสบที่มีลักษณะเป็นก้อนแข็งขนาดใหญ่ใต้ผิวหนัง เกิดจากการอักเสบอย่างรุนแรงของรูขุมขนที่อุดตัน สิวหัวช้างมักทำให้รู้สึกเจ็บปวดและทิ้งรอยแผลเป็นได้หากไม่ได้รับการรักษา
- สิวซีสต์ (Cysts) สิวซีสต์เป็นสิวอักเสบที่มีลักษณะเป็นถุงหนองขนาดใหญ่ใต้ผิวหนัง เกิดจากการอักเสบอย่างรุนแรงของรูขุมขนที่อุดตัน สิวซีสต์มักทำให้รู้สึกเจ็บปวดและสามารถทิ้งรอยแผลเป็นได้หากไม่ได้รับการรักษา
2. สิวอุดตัน
สิวอุดตัน เกิดขึ้นเมื่อรูขุมขนอุดตันไปด้วยความมันและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วแต่ยังอยู่ใต้ผิวหนัง โดยสิวอุดตันสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ดังนี้
- สิวหัวดำ (Blackheads) สิวหัวดำเกิดขึ้นเมื่อรูขุมขนอุดตันไปด้วยเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วและความมัน เมื่อน้ำมันสัมผัสกับอากาศจะเกิดการออกซิไดซ์และเปลี่ยนเป็นสีดำ สิวหัวดำมักพบได้บนใบหน้า หน้าอก และหลัง
- สิวหัวขาว (Whiteheads) สิวหัวขาวเกิดขึ้นเมื่อรูขุมขนอุดตันด้วยเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วและน้ำมันแต่ไม่สัมผัสกับอากาศ จึงไม่มีการออกซิไดซ์และยังคงเป็นสีขาว สิวหัวขาวมักพบได้บนใบหน้า หน้าอก และหลังเช่นกัน
กดสิวคืออะไร? ทำไมต้องกดสิว?
การกดสิวเป็นการนำหัวสิวออกมาจากผิวหนัง ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะจุดและไม่ได้ช่วยป้องกันการเกิดสิวใหม่ในอนาคต โดยการกดสิวมีหลายวิธี ดังนี้
- การบีบด้วยมือเปล่า วิธีนี้ไม่แนะนำเนื่องจากอาจทำให้เกิดการอักเสบและเกิดแผลเป็นได้ง่าย
- การใช้อุปกรณ์กดสิว ช่วยให้สามารถกดสิวได้อย่างแม่นยำและลดความเสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็น
- การใช้เข็มหรือเลเซอร์เปิดหัวสิว วิธีนี้ใช้สำหรับสิวอุดตันที่หัวสิวยังไม่โผล่ขึ้นมา โดยจะใช้เข็มหรือเลเซอร์เปิดหัวสิวเพื่อให้สามารถกดสิวออกมาได้ง่ายขึ้น
การกดสิวสามารถช่วยให้สิวที่นูนยุบตัวลงมาได้ แต่ก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงได้เหมือนกัน เช่น เกิดการอักเสบ รอยแผลเป็น รอยดำ และรอยแดงจากสิว ดังนั้นจึงควรอยู่ในความดูแลของผู้ชำนาญการด้านการดูแลผิวโดยเฉพาะ
กดสิวช่วยอะไรบ้าง?
- สามารถกำจัดสิวอุดตันได้อย่างรวดเร็ว การกดสิวเป็นวิธีกำจัดสิวอุดตันที่ตรงจุดและรวดเร็ว โดยเฉพาะสิวที่มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีขาวหรือดำ ซึ่งการกดสิวจะช่วยเปิดรูขุมขนและนำเอาสิ่งสกปรกรวมถึงความมันที่อุดตันออกมาได้ ทำให้สิวยุบลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่การกินยาและทายาจะใช้เวลาในการออกฤทธิ์นานกว่า
- ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ยาหรือเกิดผลข้างเคียง การกดสิวไม่จำเป็นต้องใช้ยาใด ๆ จึงไม่ทำให้เกิดการแพ้ยาหรือผลข้างเคียงใด ๆ เช่น ผิวแห้ง, ผิวลอก, ผิวแดง หรือผิวระคายเคืองที่เกิดจากการใช้ยาทารักษาสิวและยารับประทานรักษาสิว เช่น Roaccutane
- ช่วยให้สิวอักเสบที่มีหัวและหนองหายเร็วขึ้น การกดสิวอักเสบที่มีหัวและหนองจะช่วยระบายหนองและสิ่งสกปรกออกจากสิว ทำให้สิวยุบลงและหายเร็วขึ้น นอกจากนี้การกดสิวยังช่วยลดการอักเสบและป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อแบคทีเรียด้วย
- เพิ่มประสิทธิภาพในการฉีดสิว ก่อนจะฉีดสิวที่เป็นหนองและมีหัว แพทย์จะต้องกดเอาหัวสิวออกก่อน เพื่อให้สามารถฉีดยาเข้าไปในบริเวณที่เป็นหนองได้โดยตรง หากไม่กดเอาหัวสิวออก โอกาสที่สิวยุบหลังจากฉีดสิวจะน้อยกว่า 50% เนื่องจากยาไม่สามารถเข้าไปถึงบริเวณที่เป็นหนองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดโอกาสการเกิดสิวอักเสบ การกดสิวอุดตันออกก่อนที่จะกลายเป็นสิวอักเสบจะช่วยลดโอกาสการเกิดสิวอักเสบได้ เนื่องจากสิวอุดตันเป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรีย ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
- ช่วยกำจัดสิวและสิ่งสกปรกออกจากผิว ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ลดรอยแดง รอยดำจากสิว และทำให้ผิวดูสุขภาพดีขึ้น
สิวแบบไหนที่กดได้
สิวที่เหมาะต่อการกด ได้แก่ สิวที่ไม่ติดเชื้อและไม่ก่อให้เกิดการอักเสบ ซึ่งมักเกิดจากการอุดตันของความมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วในรูขุมขน ได้แก่
- สิวหัวดำ สิวประเภทนี้มีลักษณะเป็นจุดสีดำเล็ก ๆ บนผิวหนัง เกิดจากการที่สิวหัวขาวสัมผัสกับออกซิเจนในอากาศ ทำให้หัวสิวเปลี่ยนเป็นสีดำ
- สิวหัวขาว สิวประเภทนี้มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็ก ๆ สีขาว เกิดจากการอุดตันของความมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วในรูขุมขน
สิวเหล่านี้อยู่ใกล้กับชั้นผิวหนังด้านบน จึงสามารถมองเห็นหัวสิวได้จากภายนอก การกดสิวประเภทนี้จึงไม่ต้องใช้แรงมากนักและสามารถนำหัวสิวออกมาได้หมดโดยไม่ทิ้งรอยช้ำหรือหัวสิวที่ก่อให้เกิดการอักเสบได้
สิวแบบไหนที่ไม่ควรกด
- สิวอักเสบ สิวประเภทนี้มักมีลักษณะเป็นตุ่มแดง มีหนองหรือหัวขาวอยู่ด้านใน หากกดสิวประเภทนี้จะทำให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อได้
- สิวหัวช้าง สิวประเภทนี้มักมีลักษณะเป็นตุ่มขนาดใหญ่ มีหัวสีดำหรือขาวอยู่ด้านใน หากกดสิวประเภทนี้จะทำให้เกิดแผลเป็นได้
- สิวที่ติดเชื้อ สิวประเภทนี้มักมีลักษณะเป็นตุ่มแดง มีหนองหรือหัวขาวอยู่ด้านใน หากกดสิวประเภทนี้จะทำให้เกิดการติดเชื้อได้
- สิวที่เกิดจากโรคผิวหนังอื่น ๆ เช่น โรคเริม, โรคอีสุกอีใส หรือโรคกลาก หากกดสิวในลักษณะนี้จะทำให้เกิดการติดเชื้อหรือทำให้โรคผิวหนังลุกลามได้
กดสิวด้วยตัวเองส่งผลข้างเคียงอย่างไร?
การกดสิวด้วยตัวเอง ถึงแม้จะเป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็วในการกำจัดสิว แต่จริงๆ แล้วการกดสิวด้วยตัวเองเป็นวิธีที่ส่งผลเสียต่อผิวหน้ามากกว่าที่คิด โดยผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการกดสิวด้วยตัวเอง ได้แก่
- เกิดการอักเสบและติดเชื้อ การกดสิวด้วยมือที่ไม่สะอาดหรือใช้อุปกรณ์ที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ อาจทำให้แบคทีเรียจากมือหรืออุปกรณ์กดสิวซึมเข้าสู่รูขุมขนที่เปิดอยู่จนทำให้เกิดการอักเสบหรือการติดเชื้อได้ ซึ่งการติดเชื้อจะทำให้เกิดหนองและทำให้รู้สึกเจ็บปวด ในกรณีที่รุนแรงอาจแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่น ๆ ของใบหน้าหรือร่างกายได้
- เกิดรอยสิว การกดสิวที่รุนแรงเกินไปหรือไม่ถูกวิธีอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อผิวหนังชั้นลึก ซึ่งนำไปสู่การเกิดรอยแผลเป็นหรือรอยสิวตามมาได้ ซึ่งรอยแผลเป็นหรือรอยสิวนั้นมีหลายประเภท เช่น รอยแผลเป็นแบบหลุม, รอยแผลเป็นแบบนูน, รอยแผลเป็นแบบสีผิวไม่สม่ำเสมอ, รอยดำ และรอยแดงจากสิว
- สิวเห่อ การกดสิวที่ไม่ถูกวิธีจะทำให้แบคทีเรียและน้ำมันจากสิวเห่อและลามไปยังบริเวณอื่น ๆ ของใบหน้าได้ โดยเฉพาะเวลาใช้อุปกรณ์กดสิวที่ไม่สะอาด
- เกิดการระคายเคืองและบวม การกดสิวสามารถทำให้เกิดการระคายเคืองและบวมได้ โดยเฉพาะบริเวณที่มีผิวบอบบาง ซึ่งการระคายเคืองและบวมจะทำให้เกิดอาการแดง คัน และเจ็บปวดตามมาได้
- เกิดการอักเสบและติดเชื้อ การกดสิวด้วยมือที่ไม่สะอาดหรือใช้อุปกรณ์ที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ อาจทำให้แบคทีเรียจากมือหรืออุปกรณ์กดสิวซึมเข้าสู่รูขุมขนที่เปิดอยู่จนทำให้เกิดการอักเสบหรือการติดเชื้อได้ ซึ่งการติดเชื้อจะทำให้เกิดหนองและทำให้รู้สึกเจ็บปวด ในกรณีที่รุนแรงอาจแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่น ๆ ของใบหน้าหรือร่างกายได้
วิธีดูแลปัญหาสิวที่ถูกวิธี
การดูแลปัญหาสิวให้หายและไม่กลับมาเป็นซ้ำ จำเป็นต้องอาศัยความสม่ำเสมอและการดูแลผิวหน้าอย่างถูกวิธี โดยวิธีการดูแลปัญหาสิวที่ Better Me Clinic แนะนำมีดังนี้
1. ล้างหน้าให้สะอาด
การล้างหน้าให้สะอาดถือเป็นขั้นตอนการดูแลปัญหาสิวที่สำคัญ ควรล้างหน้าอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น โดยใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่อ่อนโยนต่อผิวและเหมาะกับสภาพผิวของตนเอง หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่รุนแรงหรือมีส่วนผสมที่ทำให้ระคายเคือง
2. หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า
การสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ จะนำพาเชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรกมาสู่ผิวจนทำให้เกิดสิวได้ ควรหลีกเลี่ยงการแตะ แกะ หรือเกาใบหน้า หากจำเป็นต้องสัมผัสใบหน้าควรล้างมือให้สะอาดก่อน
3. พักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลซึ่งเป็นฮอร์โมนของความเครียดมากเกินไปจนอาจกระตุ้นให้เกิดสิวได้ ควรนอนหลับพักผ่อนให้ได้อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน
4. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพจะช่วยให้ผิวมีสุขภาพดีและลดการเกิดสิวได้ ควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี รวมถึงแร่ธาตุสังกะสี เพื่อช่วยลดการอักเสบและลดการเกิดสิว โดยอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว ได้แก่ ผัก, ผลไม้, ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนไม่ติดมัน
5. ลดความเครียด
ความเครียดเป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดสิวได้ เนื่องจากความเครียดจะทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลที่กระตุ้นการผลิตน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้าขึ้นมา การลดความเครียดจึงเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยป้องกันและรักษาสิวได้ โดยมีวิธีการต่าง ๆ เช่น การออกกำลังกาย, การฝึกสมาธิ หรือการทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย
6. ใช้สกินแคร์รักษาสิว
การใช้สกินแคร์รักษาสิว เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยรักษาสิวได้อย่างเห็นผล ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวและปัญหาสิวของตนเอง โดยทั่วไปแล้วสกินแคร์รักษาสิวมักมีส่วนผสมที่ช่วยลดการอักเสบของสิว เช่น ซาลิไซลิกแอซิด หรือเบนซอยล์เปอร์ออกไซด์
7. ฉีดสิว
การฉีดสิว เป็นวิธีรักษาสิวที่มีปัญหารุนแรงหรือสิวที่อักเสบ โดยแพทย์จะฉีดยาต้านการอักเสบเข้าไปในสิวเพื่อลดการอักเสบและทำให้สิวหายเร็วขึ้น แต่ทั้งนี้การฉีดสิวควรทำโดยแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น
8. กดสิว
การกดสิว เป็นวิธีรักษาสิวอุดตันด้วยการใช้เครื่องมือที่สะอาดและผ่านการฆ่าเชื้อแล้วมากดสิวออกอย่างเบามือ โดยการกดสิวควรทำหลังจากล้างหน้าหรือทำความสะอาดผิวบริเวณที่เป็นสิวเรียบร้อยแล้ว รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการกดสิวอักเสบหรือสิวมีหนองด้วย เพราะอาจทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
9. รักษาด้วยการทำหัตถการต่าง ๆ
- การทำทรีตเมนต์ ทรีตเมนต์ของทาง Better Me Clinic สามารถแก้ปัญหาสิวได้ โดยเฉพาะ Acne Treatment ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวโดยตรง เนื่องจากมีส่วนผสมหลักอย่าง Tree Tea Oil ซึ่งช่วยลดการอักเสบและลดการเห่อของสิวได้
- การทำ Peeling สำหรับการผลัดเซลล์ผิวหน้ากับ Better Me Clinic จะมีคอร์สผลัดเซลล์ผิวสูตรพิเศษ คือ Magic Peeling ซึ่งเป็นการใช้กรดผลไม้สูตรพิเศษในการผลัดเซลล์ผิวหนังชั้นกำพร้าที่ไม่แข็งแรงให้หลุดลอกออกไป และกระตุ้นให้เซลล์ผิวใหม่ที่แข็งแรงมาแทนที่ โดยมีสูตร Acne Peeling สำหรับผู้ที่มีปัญหาสิว ไม่ว่าจะเป็นสิวอักเสบ สิวอุดตัน สิวผด ฯลฯ ซึ่งสูตร Acne Peeling สามารถช่วยลดอาการสิวอักเสบ ฆ่าเชื้อสิว และยังทำให้สิวแห้งไวยิ่งขึ้น
- การฉีดเมโสหน้าใส เป็นการใช้เข็มฉีดส่วนผสมของสารสกัด phytoHA ธรรมชาติจากพืชหลากหลายชนิด รวมถึงวิตามิน แร่ธาตุ และกรดอะมิโนลงในผิวชั้นกลาง ซึ่งเมโสหน้าใสจะเข้าไปช่วยปรับผิวให้กระจ่างใส สร้างความยืดหยุ่นให้แก่ผิว ช่วยแก้ปัญหารูขุมขนกว้าง ปัญหาฝ้า กระ และจุดด่างดำ รวมถึงลดปัญหาสิว และลดการอักเสบของผิวได้
- มาเด้ คอลลาเจน เป็นการบำรุงผิวหน้าที่ใช้สารสกัดจากธรรมชาติหลากหลายชนิด เช่น วิตามิน, แร่ธาตุ, เอนไซม์ และคอลลาเจน เพื่อฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสียหาย กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น นอกจากนี้ยังช่วยลดการอักเสบของสิว ลดรอยแดง รอยดำ และทำให้ผิวแข็งแรงขึ้นได้อีกด้วย
- การฉีด Exosome ช่วยแก้ปัญหาสิวได้ เนื่องจากสารเอ็กโซโซมจะมีโมเลกุลอนุภาคนาโนขนาดเล็กมาก เมื่อฉีดเข้าไปแล้วจะช่วยฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมสภาพและกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ได้ลึกถึงระดับยีน (Epigenetic) เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสิวบนใบหน้า ลดการเกิดปัญหาสิวอุดตัน นอกจากนี้ยังช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสี ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ บำรุงผิวพรรณให้กระจ่างใส หน้าดูฉ่ำวาว ฝ้า กระ จุดด่างดำดูจางลง รวมถึงช่วยสมานแผล และลดโอกาสเกิดรอยแผลเป็นด้วย
กดสิวที่ไหนดี?
การกดสิวที่ปลอดภัย ไม่ทิ้งรอยสิว ไม่ทำให้สิวเห่อ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือผู้ชำนาญการ ดังนั้นการเลือกสถานที่ในการกดสิวจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึง เนื่องจากผู้ให้บริการ เครื่องมือ และเทคนิคต่าง ๆ มีผลต่อใบหน้าของผู้เข้ารับบริการโดยตรง ควรเลือกใช้บริการกดสิวหรือรักษาสิวกับคลินิกเสริมความงามที่ได้มาตรฐาน คุณหมอมีประสบการณ์ ใช้ผลิตภัณฑ์และเครื่องมือคุณภาพสูง รวมถึงมีการให้คำปรึกษาเป็นรายบุคคล เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ
Better Me Clinic by Dr. Chanya เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการกดสิวหรือรักษาสิว เนื่องจากที่นี่ดูแลโดยแพทย์และผู้ชำนาญการเฉพาะทาง มีประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลอย่างใกล้ชิด ใส่ใจรายละเอียดแบบเคสต่อเคส มีการประเมินสภาพผิวอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจทำ
อีกทั้ง Better Me Clinic ยังมีผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน เครื่องมือครบครัน พร้อมนวัตกรรมที่ทันสมัย หากสนใจ สามารถติดต่อนัดหมายได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-059-8118, 088-603-2641 หรือไลน์ @bettermeclinic ปรึกษาคุณหมอได้ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย รับรองว่าจะได้รับการดูแลอย่างเต็มที่และแก้ปัญหาได้ตรงจุดอย่างแน่นอน
- Clevel and clinic, Acne (https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/12233-acne), 29 July 2024
- Healthline, Everything You Want to Know About Acne (https://www.healthline.com/health/skin/acnermalogica, What causes uneven skin tone?), 29 July 2024