รอยแผลเป็นจากสิว กำจัดยังไงให้หายขาด? วิธีรักษาที่ได้ผลจริง!
ใครที่เคยมีปัญหาสิวคงจะเข้าใจดีว่าปัญหารอยแผลเป็นจากสิวกวนใจเรามากแค่ไหน เพราะปัญหาผิวชนิดนี้นอกจากจะหายเองได้ยากแล้ว ยังอาจเป็นอุปสรรคในการมีผิวที่เรียบเนียนอีกด้วย หากคุณเป็นหนึ่งคนที่พยายามลดรอยแผลเป็นจากสิวและรักษารอยแผลเป็นจากสิวมานานหลายปีแล้วแต่ยังไม่หายสักที บทความนี้อาจช่วยคุณได้!
รอยแผลเป็นจากสิวคืออะไร?
รอยแผลเป็นจากสิว คือ ร่องรอยความเสียหายบนผิวหนังที่เกิดขึ้นหลังจากสิวหายไป ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเมื่อชั้นผิวหนังได้รับความเสียหายระหว่างการอักเสบของสิว โดยเฉพาะสิวที่อักเสบลึก เช่น สิวไตหรือสิวหัวช้าง
หลัก ๆ แล้ว รอยแผลเป็นจากสิวจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ แผลเป็นหลุมสิว (Atrophic Scars) และแผลเป็นนูน โดยแต่ละประเภทมีลักษณะที่แตกต่างกันไป ดังนี้
1. แผลเป็นหลุมสิว
แผลเป็นหลุมสิวมีลักษณะเป็นรอยบุ๋มลงไปในผิวหนัง เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนและเนื้อเยื่อในระหว่างกระบวนการหายของสิว โดยหลุมสิวสามารถแบ่งออกตามระดับความลึกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้
- หลุมสิวประเภท Rolling Scar หลุมสิวประเภทนี้มักเกิดจากการอักเสบเรื้อรังของสิวที่ไม่ได้รุนแรงมาก ทำให้เกิดพังผืดที่ดึงรั้งผิวบริเวณด้านบนเท่านั้น หลุมสิวจึงมีลักษณะเป็นเพียงหลุมตื้น ๆ คล้ายผิวที่ไม่เรียบเสมอกัน ถึงแม้หลุมสิวประเภทนี้จะเชื่อมต่อกันเป็นบริเวณกว้าง แต่ก็ยังเป็นหลุมสิวประเภทที่รักษาได้ง่ายที่สุด
- หลุมสิวประเภท Boxcar Scar หลุมสิวประเภทนี้มักเกิดจากการอักเสบเรื้อรังของสิวที่มีการอักเสบปานกลางถึงรุนแรง ทำให้ความลึกของหลุมสิวแตกต่างกันไปตามความรุนแรงของการอักเสบ โดยลักษณะของหลุมสิวชนิดนี้จะมีปากหลุมสิวที่กว้างและสังเกตเห็นขอบหลุมได้อย่างชัดเจน
- หลุมสิวประเภท Ice Pick Scars หลุมสิวประเภทนี้มักเกิดจากการอักเสบที่รุนแรงของสิวอุดตันในรูขุมขนที่ลึกมาก เช่น สิวหัวหนองหรือสิวซีสต์ ทำเกิดหลุมสิวที่มีปากแผลแคบ ก้นของแผลมีลักษณะลึกลงไปคล้ายกรวย หลุมสิวเป็นประเภทนี้จึงรักษาได้ยากกว่าหลุมสิวประเภทอื่น ๆ เนื่องจากก้นของหลุมสิวลึกไปถึงชั้นหนังแท้หรือชั้นไขมันใต้ผิวหนัง
2. แผลเป็นนูน
แผลเป็นนูน เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนมากเกินไประหว่างการซ่อมแซมผิวหลังจากสิวหายและทำให้เกิดรอยนูนขึ้นบนผิวหนัง แผลเป็นนูนมักจะพบได้ในบริเวณที่เกิดสิวรุนแรงหรือมีบาดแผลและอาจเกิดในรูปแบบที่แตกต่างกัน ดังนี้
- แผลเป็นนูนธรรมดา (Hypertrophic Scars) มักเกิดขึ้นภายในขอบเขตของแผลเดิม มีลักษณะนูน แดง และคัน โดยแผลเป็นนูนธรรมดาจะสามารถยุบลงและจางหายได้เองภายใน 1-2 ปี ไม่โตเกินขอบเขตของแผลเดิม และพบได้บ่อยตามบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวหรือบริเวณที่ผิวหนังค่อนข้างตึง
- คีลอยด์จากสิว (Keloid Scars) เป็นแผลเป็นที่มีลักษณะนูนแข็ง มีสีแดงเข้มหรือสีม่วง มีการขยายตัวเกินขอบเขตของแผลเดิม และมีความรุนแรงมากกว่าแผลเป็นนูนธรรมดา บางรายอาจมีอาการคันหรือเจ็บบริเวณรอยแผลร่วมด้วย โดยแผลเป็นคีลอยด์จากสิวมักจะโตขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี
โดยทั่วไป บริเวณใบหน้าโดยเฉพาะจุดที่มีสิวขึ้นบ่อย เช่น แก้ม, หน้าผาก หรือคาง มักจะเกิดแผลเป็นหลุมสิวได้มากกว่าแผลเป็นนูน เนื่องจากเนื้อเยื่อของผิวในบริเวณนี้มีการฟื้นฟูได้ยากและมีโอกาสสูญเสียคอลลาเจนจากการอักเสบในชั้นผิวที่ลึกลงไป
ในขณะที่บริเวณอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น หน้าอกหรือหลัง มักจะพบแผลเป็นนูนได้มากกว่า เนื่องจากบริเวณเหล่านี้มีการผลิตคอลลาเจนมากและมีเนื้อเยื่อที่ตอบสนองต่อการอักเสบต่างกันจากใบหน้า
รอยแผลเป็นจากสิวเกิดจากอะไร?
รอยแผลเป็นจากสิว เกิดจากกระบวนการที่ผิวหนังพยายามฟื้นฟูตัวเองหลังจากสิวหาย โดยมักจะเกิดขึ้นหลังจากเป็นสิวอักเสบ เนื่องจากในขณะที่เป็นสิวอักเสบเนื้อเยื่อชั้นลึกของผิวหนังจะถูกทำลายจนได้รับความเสียหาย ร่างกายจึงพยายามรักษาตัวเองด้วยการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใหม่มาทดแทน
หากกระบวนการซ่อมแซมนี้ไม่สมบูรณ์ ก็จะส่งผลให้เกิดรอยแผลเป็นในรูปแบบต่าง ๆ ขึ้นมาได้ โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว มีดังนี้
- ระดับความรุนแรงของสิว สิวที่มีการอักเสบรุนแรง เช่น สิวหัวช้างหรือสิวหนอง จะมีโอกาสทำให้เนื้อเยื่อเสียหายได้มากกว่าสิวทั่วไปและทำให้มีโอกาสเกิดรอยแผลเป็นสูง
- การบีบหรือกดสิว เป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับการเกิดรอยแผลเป็น เมื่อผิวหนังถูกกดหรือแกะ ความเสียหายจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กระบวนการรักษาแผลของผิวไม่เป็นไปอย่างสมบูรณ์
- ประเภทของผิว คนที่มีผิวมันหรือมีรูขุมขนกว้างอาจมีโอกาสเป็นสิวและเกิดรอยแผลเป็นได้มากกว่า ในขณะที่คนผิวแห้งหรือผิวบอบบางอาจฟื้นตัวจากแผลช้า ทำให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิวได้ง่ายขึ้น
- พันธุกรรม ลักษณะของผิวและการเกิดรอยแผลเป็นสามารถสืบทอดผ่านทางพันธุกรรมได้ หากครอบครัวมีประวัติการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว คนรุ่นถัดไปก็มีโอกาสสูงที่จะเกิดรอยแผลเป็นจากสิวได้เช่นกัน
นอกจากนี้ หากเป็นสิวแล้วไม่ทำการรักษาอย่างถูกวิธี ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสให้การอักเสบของสิวมีความรุนแรงขึ้นและเกิดแผลเป็นจากสิวที่ยากต่อการรักษาได้
รอยแผลเป็นจากสิวกับรอยดำจากสิว แตกต่างกันอย่างไร?
ถึงแม้รอยแผลเป็นจากสิวและรอยดำจากสิวจะเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังจากสิวหายทั้งคู่ แต่ปัญหาทั้งสองอย่างนี้กลับมีลักษณะและสาเหตุที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
โดยรอยแผลเป็นจากสิว จะมีสาเหตุมาจากการที่โครงสร้างผิวชั้นลึกถูกทำลายและร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหายได้อย่างสมบูรณ์ จึงทิ้งรอยแผลเป็นที่คงอยู่ถาวร ซึ่งลักษณะรอยแผลเป็นจากสิวมีทั้งแบบหลุมลึกและแบบนูน หรือคีลอยด์จากสิว อาจไม่สามารถจางลงได้เอง
ในขณะที่รอยดำจากสิว หรือที่เรียกว่า Post-Inflammatory Hyperpigmentation (PIH) เป็นการเปลี่ยนแปลงของสีผิวที่เกิดขึ้นหลังจากสิวหายไป ไม่ใช่รอยแผลเป็นอย่างที่หลายคนเข้าใจ ซึ่งรอยดำจากสิวมักจะมีลักษณะเป็นจุดสีที่เข้มกว่าโทนผิวเดิม หรืออาจมีสีน้ำตาล สีเทา ไปจนถึงสีดำ ขึ้นอยู่กับสีผิวของแต่ละคน นอกจากนี้ รอยดำจากสิวยังอาจคงอยู่ได้นานหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน แต่จะค่อย ๆ จางหายไปเองได้ตามกาลเวลา
รอยแผลเป็นจากสิวรักษาอย่างไร?
วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับประเภทของรอยแผลเป็น ความลึก และขนาดของแผลเป็นจากสิว
โดยทั่วไปแล้ว การลดรอยแผลเป็นสิวมักมุ่งเน้นไปที่การลดขนาดของหลุมหรือรอยนูนที่ปรากฏบนผิวหนัง โดยวิธีการรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่นิยมในปัจจุบันมีดังนี้
1. รักษาด้วยยาทาภายนอก
การรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยยาทาภายนอก เป็นหนึ่งในวิธีการลดรอยแผลเป็นสิวง่าย ๆ ด้วยตัวเอง เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นที่ไม่ลึกมาก โดยจะเน้นไปที่การผลัดเซลล์ผิวร่วมกับการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำได้โดยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนประกอบ ดังนี้
- กรดอัลฟาไฮดรอกซี (AHA) เป็นกรดผลไม้ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าบนชั้นผิวหนังชั้นบน ทำให้รอยแผลเป็นตื้น ๆ ดูจางลง
- กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid) มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ ที่มีประสิทธิภาพอย่างมากในการกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว หลังใช้กรดอะซีลาอิกผิวชั้นบนจะค่อย ๆ หลุดลอกออก รอยแผลเป็นจากสิวจึงดูจางลง
- วิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพในการลดการอักเสบและปรับสภาพผิวให้ชุ่มชื้น นอกจากนี้ยังสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ผิวแข็งแรงและหลุมสิวดูตื้นขึ้นอีกด้วย
- กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) เป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกายของคนเรา มีคุณสมบัติในการกักเก็บน้ำได้ดี นอกจากจะทำให้ผิวชุ่มชื้นแล้ว เมื่อใช้กรดไฮยาลูโรนิกเป็นประจำยังช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวแข็งแรง ยืดหยุ่น และอิ่มฟูขึ้นด้วย
- ยากลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ เช่น Retin A (เรตินเอ), Retinoid (เรตินอยด์), และ Retinol (เรตินอล) เป็นกลุ่มยาที่มีคุณสมบัติในการปรับโครงสร้างผิว ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่และช่วยลดการสะสมของเซลล์ผิวที่ตายแล้ว อีกทั้งยังช่วยลดรอยแผลเป็นสิวได้ด้วย
ทั้งนี้ ผลลัพธ์ที่ได้จากการรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยยาทาภายนอกอาจไม่มีประสิทธิภาพเท่าการรักษาด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ รวมถึงอาจใช้ระยะเวลานานกว่ารอยแผลเป็นจากสิวจะจางลง
2. การเลเซอร์รักษารอยแผลเป็นจากสิว
เลเซอร์รักษารอยแผลเป็นจากสิว เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถแก้ไขปัญหาแผลเป็นจากสิวได้อย่างตรงจุด ไม่ส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่อบริเวณข้างเคียง รวมถึงสามารถรักษาได้ทั้งปัญหาหลุมสิวและแผลเป็นนูน โดยเลเซอร์ที่นิยมนำมาใช้มีดังนี้
- Fractional Laser เช่น eMatrix เป็นเลเซอร์ที่ช่วยรักษาหลุมสิวได้ด้วยการทำลายผิวเก่าและกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ วิธีนี้จะช่วยให้ผิวค่อย ๆ ฟื้นฟูและดูเรียบเนียนขึ้น เหมาะสำหรับการรักษาหลุมสิว แต่อาจไม่ตอบโจทย์ในผู้ที่ต้องการรักษาแผลเป็นนูน
- Ablative Laser เช่น คาร์บอนไดออกไซด์เลเซอร์ (CO2 Laser) หรือเลเซอร์เออร์เบียม (Erbium: YAG laser) มีคุณสมบัติในการช่วยลอกผิวชั้นบนที่เสียหายออก เพื่อกระตุ้นการสร้างผิวใหม่ สามารถใช้รักษาได้ทั้งปัญหาหลุมสิวและแผลเป็นนูน คีลอยด์จากสิว
- Non-Ablative Laser เช่น Long Pulsed ND: YAG เลเซอร์ชนิดนี้จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนโดยไม่ทำลายผิวชั้นนอกด้วยการใช้รังสีอินฟราเรดยิงเข้าไปที่ผิวชั้นใน ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้นแบบไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นมาก มักใช้ในการรักษารอยแผลเป็นนูน คีลอยด์จากสิว หรือสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอกัน
ทั้งนี้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ การเลเซอร์ลดรอยแผลเป็นสิวควรทำต่อเนื่องอย่างน้อย 4-6 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างในการรักษาครั้งละประมาณ 2-3 สัปดาห์
3. Morpheus8
Morpheus8 เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนามาจากการทำ Microneeding โดยจะใช้เข็มขนาดเล็ก 24 เข็มเจาะลงสู่ชั้นผิวแล้วปล่อยคลื่นวิทยุ (Radiofrequency) ลงไปซ่อมแซมผิว ทำให้ผิวเกิดการหดตัวและกระตุ้นให้เส้นใยคอลลาเจนจัดเรียงตัวใหม่
Morpheus8 จึงเป็นวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าได้อย่างหลากหลาย ทั้งช่วยยกกระชับ ปรับผิวหน้าให้ดูเรียบเนียน ลดรอยแผลเป็นสิว ลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ อีกทั้งยังช่วยกระชับรูขุมขนและทำให้หลุมสิวตื้นขึ้นได้อีกด้วย
4. การตัดพังผืด
การตัดพังผืด (Subcision) เป็นการใช้เข็มพิเศษสอดเข้าไปใต้ผิวหนังแล้วเลาะเนื้อเยื่อพังผืดใต้หลุมสิวออกทีละหลุม ช่วยให้เนื้อเยื่อที่โดนยึดไว้จนเกิดเป็นหลุมลึกแยกออกจากกัน ก่อนที่เนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าวจะเกิดกระบวนการสร้างเซลล์เนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมา ทำให้หลุมสิวหรือรอยแผลเป็นจากสิวดูตื้นขึ้น
5. การฉีดฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์ เป็นสารเติมเต็มชนิดหนึ่งที่มีสารไฮยาลูรอนเป็นส่วนประกอบสำคัญ เมื่อตัวยาจับกับน้ำจะทำให้ฟิลเลอร์มีลักษณะคล้ายเจล ช่วยเติมเต็มผิวในบริเวณต่าง ๆ ให้ดูเรียบเนียนและอิ่มฟูขึ้น
โดยฟิลเลอร์นั้นสามารถใช้เติมเต็มรอยแผลเป็นจากสิวหรือหลุมลึกที่เกิดจากการสูญเสียเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังได้ ทำให้รอยแผลเป็นจากสิวดูจางลง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการวิธีรักษาแผลสิวให้หายเร็วเนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำ
รอยแผลเป็นจากสิวป้องกันอย่างไรได้บ้าง?
รอยแผลเป็นจากสิวอาจทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียนและส่งผลต่อความมั่นใจ การป้องกันรอยแผลเป็นจากสิวด้วยการดูแลผิวอย่างถูกวิธีจะช่วยลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นจากสิวได้ โดยวิธีป้องกันรอยแผลเป็นจากสิวสามารถทำได้ ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการแกะหรือบีบสิว เนื่องจากการแกะหรือบีบสิวจะทำให้ผิวได้รับบาดเจ็บและอักเสบมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การสร้างพังผืดใต้ผิวหนังและเกิดรอยหลุมหรือคีลอยด์จากสิวได้
- รักษาสิวให้ถูกวิธีตั้งแต่แรกเริ่ม เช่น การใช้ยารักษาสิวที่เหมาะสม, การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิว หรือการปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาสิว
- หลีกเลี่ยงการทำให้ผิวระคายเคือง เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์สูง หรือการขัดผิวอย่างรุนแรง เนื่องจากสิ่งเหล่านี้อาจทำให้การอักเสบของสิวรุนแรงขึ้นและเพิ่มโอกาสในการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว
- ทาครีมกันแดดเป็นประจำ การทาครีมกันแดดเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากแสงแดดจะกระตุ้นให้สิวเกิดการอักเสบขึ้น ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 ขึ้นไป สามารถป้องกันได้ทั้งรังสี UVA และ UVB รวมถึงควรทากันแดดซ้ำทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง เมื่อทำกิจกรรมกลางแจ้ง
สรุปเกี่ยวกับรอยแผลเป็นจากสิว
จะเห็นได้ว่ารอยแผลเป็นจากสิวเกิดจากการที่สิวอักเสบจนทำลายเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง เมื่อร่างกายซ่อมแซมตัวเองอาจเกิดแผลเป็นนูนหรือหลุมสิวได้ การป้องกันรอยแผลเป็นจากสิวที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงการแกะสิว รักษาความสะอาดผิวหน้า และดูแลผิวอย่างเหมาะสมเมื่อเป็นสิว
หากมีรอยแผลเป็นจากสิวเกิดขึ้นแล้วต้องการหาวิธีรักษาแผลสิวให้หายเร็ว การรักษาด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ช่วยทำให้รอยแผลเป็นจากสิวจางลงได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ถ้าคุณกำลังมองหาสถานที่ในการลดรอยแผลเป็นจากสิว ให้ Better Me Clinic by Dr. Chanya เป็นหนึ่งในทางเลือก เรามีบริการแก้ปัญหาผิวให้เลือกอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเลเซอร์รักษาหลุมสิว Morpheus8 หรือการฉีดฟิลเลอร์ ทุกบริการเราดูแลโดยแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น
หากยังไม่มั่นใจว่าควรรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยวิธีใด สามารถติดต่อเข้ามาที่ Better Me Clinic by Dr. Chanya เพื่อให้คุณหมอประเมินสภาพผิวและแนะนำหัตถการที่เหมาะสมแบบเคสบายเคสได้เลย สามารถติดต่อนัดหมายได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-059-8118, 088-603-2641 หรือไลน์ @bettermeclinic ปรึกษาคุณหมอฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย รับรองว่าคุณจะมีผิวสวย ๆ กลับบ้านไปอย่างแน่นอน!
- NHS, Keloid scars (https://www.nhs.uk/conditions/keloid-scars/), 17 October 2024.
- Acne Support, Keloid and Hypertrophic Scars (https://www.acnesupport.org.uk/scarring/keloid-scars-test/), 17 October 2024.
- HDmall, ฉีดคีลอยด์คืออะไร รักษาแผลคีลอยด์ได้อย่างไร มาดูกัน (https://hdmall.co.th/blog/c/keloid-injection/), 17 ตุลาคม 2567.