หลุมสิว ปัญหาโลกแตกของคนเป็นสิว
“หลุมสิว” หนึ่งในปัญหาโลกแตกที่คอยตามกวนใจคนเป็นสิวอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่ว่าจะรักษามานานเท่าไหร่ แต่ก็ดูเหมือนปัญหาจะไม่ดีขึ้นเลย แถมยังมีหลุมสิวใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกเรื่อยๆ
ถ้าคุณเป็นหนึ่งคนที่สงสัยว่าจะรักษาหลุมสิวยังไงให้ได้ผล Better Me Clinic จะพาทุกคนมารู้จักกับปัญหาหลุมสิวกัน เริ่มตั้งแต่หลุมสิวคืออะไร? เกิดจากอะไร? มีวิธีป้องกันและรักษาอย่างไรได้บ้าง? ครบ จบ ในบทความเดียว!
หลุมสิวคืออะไร?
หลุมสิว (Atrophic Scars) เป็นผลกระทบที่เกิดจากปัญหาสิวที่มีการอักเสบ โดยปกติแล้วหลังจากสิวหายจะมีกระบวนการซ่อมแซมผิวหนังประมาณ 7-10 วัน โดยการสร้างเซลล์ผิวหนังและคอลลาเจนใหม่ขึ้นมาเติมเต็มบริเวณที่เกิดการอักเสบ ซึ่งหากกระบวนการนี้ทำได้อย่างสมบูรณ์ก็จะไม่ก่อให้เกิดรอยสิวหรือหลุมสิว
ในทางกลับกัน หากกระบวนการซ่อมแซมผิวหลังเป็นสิวไม่สมบูรณ์หรือบริเวณที่เกิดสิวมีการอักเสบอย่างรุนแรง เช่น สิวหัวช้าง ที่เมื่อเป็นแล้วเอนไซม์จะกัดกินผิวในบริเวณนั้นไปค่อนข้างลึก ทำให้ผิวไม่สามารถรักษาและฟื้นฟูด้วยการสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมาได้มากพอ จะทำให้เกิดพังผืดที่ดึงรั้งจนผิวหนังยุบลงไปและเกิดเป็นรอยบุ๋มที่มีลักษณะคล้ายกับผิวดวงจันทร์ขึ้นมา
หลุมสิวเกิดจากอะไร?
หลุมสิว มักเกิดจากการดูแลรักษาสิวที่ไม่ถูกวิธี เช่น การพยายามเค้นบีบสิวแรงๆ ในสิวที่ยังไม่สุกดี ทำให้เกิดการอักเสบรุนแรง รวมถึงการเป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่อย่างสิวหัวช้าง ซึ่งโดยปกติแล้วด้านในหัวหนองจะเต็มไปด้วยเชื้อแบคทีเรีย หากปล่อยทิ้งไว้นานไม่รีบรักษา ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะหลั่งเอนไซม์ออกมาเพื่อรักษาด้วยตัวเอง โดยเอนไซม์คอลลาจีเนส (Collagenase) จะถูกปล่อยออกมาเพื่อย่อยสลายคอลลาเจนเก่าที่เสียหายจากการอักเสบ เพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้เนื้อเยื่อของผิวชั้นในบริเวณที่เป็นสิวยุบตัวลงจนเกิดเป็นหลุมสิวขึ้น
หลุมสิวมีกี่ประเภท?
หากแบ่งหลุมสิวตามระดับความลึก จะแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่
- หลุมสิวประเภท Rolling Scar หลุมสิวประเภทนี้จะมีก้นสิวลึกและกลมมนคล้ายก้นของกระทะ มีเนื้อเยื่อพังผืดดึงรั้งใต้ผิว มักมีขนาดใหญ่และกว้าง แต่จะเป็นเพียงรอยตื้นๆ เท่านั้น ทำให้หลุมสิวประเภทนี้เป็นหลุมสิวที่รักษาได้ง่ายที่สุด
- หลุมสิวประเภท Boxcar Scar มีลักษณะคล้ายกล่อง คือ ปากหลุมสิวกว้างและก้นหลุมสิวมีความลึกเท่ากัน สังเกตเห็นขอบหลุมได้อย่างชัดเจน เกิดได้จากสิวอักเสบหรืออีสุกอีใส สามารถเป็นได้ทั้งรอยตื้นและรอยลึก มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5-4 มม.
- หลุมสิวประเภท Ice Pick Scars เป็นหลุมสิวที่มีรอยลึกมากที่สุด รวมถึงยังมีปากแผลแคบและขอบแผลไม่เรียบเนียน มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 มม. ก้นของแผลมีลักษณะคล้ายกรวย เป็นหลุมสิวที่รักษาได้ยากและใช้เวลาในการรักษานานกว่าหลุมสิวประเภทอื่นๆ
วิธีรักษาหลุมสิวด้วยตัวเอง
การรักษาหลุมสิวด้วยตัวเองนั้นสามารถทำได้ แต่ผลลัพธ์อาจไม่มีประสิทธิภาพเท่าการรักษาหลุมสิวด้วยวิธีทางการแพทย์ รวมถึงอาจใช้ระยะเวลานานกว่า
สำหรับการรักษาสิวด้วยตัวเองจะเน้นไปที่การผลัดเซลล์ผิว ร่วมกับการกระตุ้นสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำได้โดยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนประกอบ ดังนี้
- กรดอัลฟาไฮดรอกซี (AHA) หรือ กรดเบต้าไฮดรอกซี (BHA) มีคุณสมบัติสำคัญในการเร่งการผลัดเซลล์ผิวเก่าบนใบหน้า ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
- วิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพในการลดการอักเสบและปรับสภาพผิวให้ชุ่มชื้น ช่วยให้รอยดำ รอยแดงจากสิวดูจางลง ผิวแข็งแรงและหลุมสิวดูตื้นขึ้น
- กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) เป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกายของคนเรา มีคุณสมบัติในการกักเก็บน้ำได้ดี นอกจากจะทำให้ผิวชุ่มชื้นแล้ว เมื่อใช้กรดไฮยาลูโรนิกเป็นประจำยังช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวแข็งแรง ยืดหยุ่น และอิ่มฟูมากขึ้น
- ยากลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ เช่น Retin A (เรตินเอ), Retinoid (เรตินอยด์), Retinol (เรตินอล) มีคุณสมบัติในการปรับโครงสร้างผิว ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวเก่า และกระตุ้นสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทน
นอกจากการใช้ยาแล้ว การสครับผิวก็เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้นได้ เพราะการสครับผิวจะช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพออกไปด้วยวิธีทางกายภาพ ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและสม่ำเสมอมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การสครับผิวไม่ควรทำเกินสัปดาห์ละ 2 ครั้ง รวมถึงควรเลือกใช้สครับสูตรที่เหมาะกับผิว เพราะการใช้สครับสูตรที่มีความเข้มข้นมากเกินไปอาจก่อให้เกิดการระคายเคือง ทำให้ผิวบางลง และก่อให้เกิดสิวได้
วิธีรักษาหลุมสิวด้วยเทคนิคการแพทย์
การรักษาหลุมสิวด้วยตนเองอาจต้องอาศัยวินัยและใช้ระยะเวลานาน ทำให้หลายคนล้มเลิกการรักษาไปก่อนที่จะเห็นผล การเข้าพบแพทย์เพื่อรักษาหลุมสิวจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์หลังรักษาอย่างรวดเร็ว โดยการรักษาหลุมสิวที่ Better Me Clinic แนะนำมีดังนี้
1. ผลัดเซลล์ผิวด้วยการใช้สารเคมี
การผลัดเซลล์ผิวด้วยการใช้สารเคมี เป็นกระบวนการที่ใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ เช่น กรด AHA และกรด BHA เข้าไปกำจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดออกและกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ รวมทั้งยังช่วยกำจัดสิ่งสกปรกในรูขุมขน ลดโอกาสที่จะเกิดสิวใหม่ได้อีกด้วย
ที่ Better Me Clinic เรามีการผลัดเซลล์ผิวด้วยสูตร Deep Peeling เป็นการผลัดเซลล์ผิวระดับลึกถึง Reticular Dermis วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาปัญหารอยหลุมสิวในระดับตื้นๆ การรักษาอย่างต่อเนื่องจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ
2. การเลเซอร์รักษาหลุมสิว
เลเซอร์รักษาหลุมสิว เป็นวิธีรักษาหลุมสิวที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด และไม่ส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่อบริเวณข้างเคียง
การเลเซอร์รักษาหลุมสิว สามารถทำได้โดยการยิงพลังงานเลเซอร์ลงไปบนผิว ก่อนที่พลังงานจะกลายเป็นความร้อนและไปกระตุ้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังให้สร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมา ทำให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดปัญหารูขุมขนกว้างได้อีกด้วย
แต่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ การเลเซอร์รักษาหลุมสิวจะต้องทำต่อเนื่องอย่างน้อย 4-6 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างในการรักษาประมาณ 2-3 สัปดาห์
4. การทำ Microneeding
การทำ Microneeding เป็นการรักษาหลุมสิวด้วยการใช้เข็มขนาดเล็กทิ่มลงบริเวณที่มีปัญหา โดยมีความลึกราวๆ 0.5-2 มิลลิเมตร หรือขึ้นอยู่กับการประเมินสภาพผิวของแต่ละบุคคล วิธีนี้จะทำให้เนื้อเยื่อใต้ผิวบาดเจ็บเล็กน้อยและกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ขึ้นมาซ่อมแซม หลุมสิวจึงดูตื้นขึ้น และรอยหลุมสิวดูจางลง
การทำ Microneeding เป็นวิธีรักษารอยสิวและหลุมสิวที่เหมาะกับคนทุกสีผิว ไม่ต้องกังวลเรื่องสีผิวหรือการแพ้ยา แต่การทำ Microneeding อาจทำให้เกิดอาการเจ็บระบมระหว่างรักษา และอาจเกิดปัญหารอยแดงหรือผิวตกสะเก็ดหลังทำตามมาได้
ซึ่งการทำ Microneeding จะต้องทำกับแพทย์ที่มีความชำนาญเท่านั้น เพราะหากแพทย์ทิ่มเข็มลงไปไม่ลึกพอ อาจทำให้ไม่สามารถสังเกตเห็นผลลัพธ์หลังทำและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
5. Morpheus8
Morpheus8 เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนามาจากการทำ Microneeding โดยจะใช้เข็มขนาดเล็ก 24 เข็ม เจาะลงสู่ชั้นผิวแล้วปล่อยคลื่นวิทยุ (Radiofrequency) ลงไปซ่อมแซมผิว ทำให้ผิวเกิดการหดตัวและกระตุ้นให้เส้นใยคอลลาเจนจัดเรียงตัวใหม่
Morpheus8 จึงเป็นวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าได้อย่างหลากหลาย ทั้งช่วยยกกระชับ ปรับผิวหน้าให้ดูเรียบเนียน รักษารอยสิว ลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ อีกทั้งยังช่วยกระชับรูขุมขนและทำให้หลุมสิวตื้นขึ้นได้ภายในคราวเดียว
ส่วนผลข้างเคียงนั้นใกล้เคียงกับการทำ Microneeding คือ เกิดอาการเจ็บระบมระหว่างการรักษาและอาจเกิดปัญหารอยแดงหรือผิวตกสะเก็ดหลังทำได้
6. การตัดพังผืด (Subcision)
การตัดพังผืด เป็นการใช้เข็มพิเศษสอดเข้าไปใต้ผิวแล้วเลาะเนื้อเยื่อพังผืดใต้หลุมสิวออกทีละหลุม ช่วยให้เนื้อเยื่อที่โดนยึดไว้แยกออกจากกัน ก่อนที่เนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าวจะเกิดกระบวนการสร้างเซลล์เนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมา ทำให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น
การตัดพังผืด เป็นวิธีรักษาหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับการรักษาหลุมสิวที่มีลักษณะเป็น Rolling Scars และ Boxcar Scars
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดหลุมสิว
วิธีป้องกันการเกิดหลุมสิวที่ดีที่สุด คือ การระวังไม่ให้เป็นสิว หรือหากเป็นสิวก็ไม่ควรปล่อยปละละเลย ควรหาวิธีรักษาทันที นอกจากนี้ก็ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมบางอย่าง ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการบีบหรือกดสิวด้วยตนเอง เพราะพฤติกรรมเหล่านี้อาจทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดการอักเสบขึ้น และเพิ่มโอกาสที่จะทำให้เชื้อสิวลุกลามไปยังบริเวณใกล้เคียงได้
- ห้ามแกะสะเก็ดสิว หลายคนมักคิดว่าเมื่อสิวมีสะเก็ดแผล แปลว่าสิวหายดีแล้ว แต่จริงๆ หากในขั้นตอนนี้เราไปแกะสะเก็ดแผลซ้ำก็จะทำให้กระบวนการฟื้นฟูของแผลต้องเริ่มต้นใหม่ ทำให้แผลหายช้า และอาจทวีความรุนแรงขึ้นได้
คำถามที่พบบ่อย
1. หลุมสิวแบบไหนที่ควรพบแพทย์
หลุมสิวทุกประเภทควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษา เพราะการรักษาหลุมสิวมีความซับซ้อน แต่ถ้าอยากทดลองรักษาด้วยตัวเองก่อนก็สามารถทำได้ หากพยายามรักษาหลุมสิวมามากกว่า 6 เดือนแล้ว หลุมสิวยังไม่ดีขึ้น ควรเข้ารับการประเมินและรักษาโดยแพทย์ทันที
2. หลุมสิวหายเองได้ไหม?
หลุมสิวเป็นแผลเป็นที่เกิดจากการสูญเสียเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังหลังจากการเป็นสิวอักเสบ ทำให้หลุมสิวไม่สามารถหายเองได้อย่างสมบูรณ์ แต่อาจจะดูตื้นขึ้นได้เมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นฟูของผิวหนังตามธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม การรักษาหลุมสิวด้วยตัวเองที่บ้านร่วมกับการดูแลผิวที่เหมาะสมอาจช่วยฟื้นฟูและเร่งกระบวนการสร้างคอลลาเจนทำให้หลุมสิวหายได้เร็วขึ้น
3. หลุมสิวสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่?
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีที่สามารถรักษาหลุมสิวให้หายขาดได้ เนื่องจากมีโอกาสน้อยมากที่เนื้อเยื่อที่สูญเสียไปจะปรับโครงสร้างผิวจนฟูขึ้นมาเท่ากับก่อนเกิดปัญหาหลุมสิว แต่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาหลุมสิวที่รุนแรง ควรระวังไม่ให้เป็นสิว หรือหากเป็นสิวก็ควรหลีกเลี่ยงการบีบหรือกดสิวด้วยตนเอง
รักษาหลุมสิวที่ไหนดี?
จะเห็นได้ว่าปัญหาหลุมสิวสามารถตื้นขึ้นและหายไปได้ยากหากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี ดังนั้นการเข้ารับบริการทางการแพทย์จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้หลุมสิวลดลงอย่างเห็นผล
หากคุณกำลังมองหาสถานที่ในการรักษาหลุมสิว ให้ Better Me Clinic by Dr. Chanya เป็นหนึ่งในทางเลือก เพราะเรามีบริการแก้ปัญหาผิวให้เลือกอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการผลัดเซลล์ผิว การทำ Morpheus8 การเลเซอร์รักษาหลุมสิว หรือการฉีดฟิลเลอร์ ทุกบริการเราให้บริการโดยแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น
หากยังไม่มั่นใจว่าควรรักษาหลุมสิวด้วยวิธีใด สามารถติดต่อเข้ามาที่ Better Me Clinic by Dr. Chanya เพื่อให้คุณหมอประเมินสภาพผิวและแนะนำหัตถการที่เหมาะสมแบบเคสบายเคสได้เลย สามารถติดต่อนัดหมายได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-059-8118, 088-603-2641 หรือไลน์ @bettermeclinic ปรึกษาคุณหมอฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย รับรองว่าคุณจะมีผิวสวยๆ กลับบ้านไปอย่างแน่นอน!
- Healthline, Treatment for Atrophic Scars (https://www.healthline.com/health/atrophic-scar), 29 July 2024.
- National Library of Medicine, Effective Treatments of Atrophic Acne Scars (https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4445894/), 29 July 2024.
- Bioderma, หลุมสิว เกิดจากอะไร? มีวิธีรักษาหรือลดโอกาสการเกิดไหม? (https://www.bioderma.co.th/your-skin/combination-oily-acne-prone-skin/atrophic-scars), 29 กรกฎาคม 2567.
- Eucerin, หลุมสิวเกิดจากอะไร รักษาหลุมสิว วิธีไหนดี(https://www.eucerin.co.th/skin-concerns/acne-prone-skin/atrophic-scars), 29 กรกฎาคม 2567.