การผลัดเซลล์ผิวหน้า หนึ่งการดูแลตัวเองที่ถูกลืมแต่อาจสำคัญกว่าที่คุณคิด!
เชื่อว่าหลายๆ คนที่ใส่ใจเรื่องการดูแลผิวพรรณคงหมั่นทำความสะอาดใบหน้า ทาครีมบำรุง และมาส์กหน้าเพื่อแก้ปัญหาผิวต่างๆ กันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่รู้หรือไม่ว่ามีอีกหนึ่งวิธีที่แม้แต่คนที่ดูแลตัวเองยังอาจมองข้ามไป นั่นก็คือ “ผลัดเซลล์ผิวหน้า”
แท้จริงแล้วการผลัดเซลล์ผิวหน้าเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีส่วนช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส ลดรอยดำ ลดรอยแผลเป็น รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดสิวอีกด้วย
ในผู้ที่ต้องการให้ปัญหาเหล่านี้หายไปอย่างรวดเร็ว สามารถทำได้โดยการเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิว หลากหลายวิธี แต่ทั้งนี้ควรเลือกวิธีที่เหมาะสมกับผิวของตนเองด้วย เพื่อป้องกันการระคายเคือง
การผลัดเซลล์ผิวหน้า คืออะไร?
การผลัดเซลล์ผิวหน้า หรือ วงจรการผลัดเซลล์ผิว (Skin Cell Turnover) คือ หนึ่งในกระบวนการทำงานของเซลล์ผิวหนัง ที่จะผลัดเซลล์ผิวชั้นบนสุดที่ตายแล้วออกมาในรูปแบบของ “ขี้ไคล” หรือชื่อในทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า “สเตรตัม คลอเนียม” และกระตุ้นเซลล์ผิวใหม่ออกมาแทน ซึ่งหากกระบวนการดำเนินไปตามความปรกติ กระบวนการนี้จะเกิดขึ้นในทุกๆ 28 วัน
ปัจจุบันพบว่ามลภาวะต่างๆ ที่มากขึ้น ส่งผลให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วมีการหลุดออกหรือผลัดตัวช้าลง ทำให้เกิดปัญหาใบหน้าหมองคล้ำและเพิ่มโอกาสในการเกิดสิว
ปัญหาการผลัดเซลล์ผิวทำงานผิดปกติมักเกิดขึ้นในผู้ที่มีผิวหน้ามัน เนื่องจากน้ำมันบนผิวหน้าจะยิ่งเพิ่มการยึดเกาะให้สิ่งตกค้างและสิ่งสกปรกต่างๆ รวมทั้งอายุเองก็มีผลต่อการผลัดเซลล์ผิวเช่นกัน
ปัจจุบันจึงมีผลิตภัณฑ์และหัตถการหลากหลายรูปแบบที่ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหานี้ ทำให้นอกจากการผลัดเซลล์ผิวหน้าจะหมายถึงกระบวนการหนึ่งในการทำงานของเซลล์ผิวหนังแล้ว ยังหมายถึงวิธีการหรือหัตถการที่จะเข้ามาช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่า กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ด้วยนั่นเอง
ทำไมถึงต้องผลัดเซลล์ผิวหน้า?
การผลัดเซลล์ผิวเป็นวิธีการดูแลตัวเองที่ไม่ควรละเลย เพราะหากปล่อยไว้อาจทำให้เกิดปัญหาผิวอื่นๆ ตามมา เช่น
- ผิวหน้าหมองคล้ำ ในผู้ที่เป็นสิว ร่องรอยของสิวอาจจางลงได้ช้ากว่าที่ควร เนื่องจากเซลล์ผิวที่ตายแล้วไม่หลุดออก รวมถึงในผู้ที่ไม่มีปัญหาสิวก็อาจเกิดจุดด่างดำบริเวณใบหน้า ทำให้สีผิวดูไม่สม่ำเสมอ และดูแก่กว่าวัยได้
- เกิดสิวอุดตัน สิวอุดตันเกิดจากการรวมกันของน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้าร่วมกับเคราติน ฝุ่นละอองต่างๆ และเซลล์ผิวที่ตายแล้วแต่ไม่ได้มีการผลัดเซลล์ผิวออก เมื่อสะสมเป็นจำนวนมากจะทำให้รูขุมขนเกิดการอุดตัน ของเสียที่ควรจะถูกขับออกทางรูขุมขนจึงไม่สามารถระบายออกมาได้และกลายเป็นสิวอุดตันในที่สุด
- ผิวลอก เนื่องจากผิวหนังด้านบนเต็มไปด้วยเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ใบหน้าจึงแห้งและหยาบกร้าน ในบางรายอาจเกิดอาการผิวลอกออกมาเป็นบางส่วน นำมาซึ่งอาการแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น อาการคัน หรือการเกิดเชื้อรา
- ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแล้วไม่เห็นผล การที่มีเซลล์ผิวที่ตายแล้วทับถมกันหลายๆ ชั้น อาจทำให้ผลิตภัณฑ์ไม่สามารถซึมลงสู่ผิวได้ ผลลัพธ์หลังใช้จึงไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าที่ควร
นอกจากนี้ในชีวิตประจำวันเรายังสามารถพบเจอปัจจัยที่ทำให้เซลล์ผิวผลัดตัวได้ช้าลงอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะแสงแดดและมลภาวะ การที่เราละเลยการผลัดเซลล์ผิวจึงทำให้เกิดปัญหาผิวที่กล่าวมาข้างต้นได้อย่างง่ายนั่นเอง
ผลัดเซลล์ผิวหน้ามีข้อดีและข้อจำกัดอย่างไร?
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าการผลัดเซลล์ผิวหน้านั้นเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ ซึ่งหมายความในบางรายอาจมีการผลัดเซลล์ผิวหน้าเป็นปกติอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นที่จะต้องเร่งให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวหน้าเพิ่ม เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและทำให้ผิวบางลงได้
ในขณะที่บางรายอาจได้รับผลกระทบจากเซลล์ผิวที่ผลัดช้าจึงควรเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ข้อดีและข้อจำกัดของการผลัดเซลล์ผิวหน้านั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่โดยมากแล้วการผลัดเซลล์ผิวหน้าก็มีข้อดีและข้อจำกัด ดังนี้
ข้อดีของการผลัดเซลล์ผิวหน้า
- ลดโอกาสในการเกิดการอุดตันของรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว
- ชะลอการเกิดริ้วรอยที่เกิดจากปัญหาหน้าแห้ง หน้าลอก
- ช่วยให้ผิวหน้ามีสัมผัสที่เนียนนุ่มขึ้น ไม่แห้งกร้าน
- ช่วยให้ใบหน้าดูกระจ่างใส รอยสิว และจุดด่างดำต่างๆ จางลง
- ในกรณีที่ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ผิวจะสามารถซึมซับผลิตภัณฑ์ได้ดีขึ้น
ข้อจำกัดของการผลัดเซลล์ผิวหน้า
- การผลัดเซลล์ผิวหน้าบ่อยๆ อาจทำให้เกิดการระคายเคืองและผิวบางลงได้ ควรผลัดเซลล์ผิวสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งเท่านั้น
- ผลิตภัณฑ์ที่ใช้เพื่อผลัดเซลล์ผิวมักมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ดังนั้นในผู้ที่มีปัญหาสิว ผิวแพ้ง่าย ควรศึกษาความเข้มขนของสารที่ใช้เสียก่อน เพราะอาจเสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองได้
วิธีการผลัดเซลล์ผิวหน้า มีกี่แบบ?
การผลัดเซลล์ผิวแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่
1. การผลัดเซลล์ผิวด้วยวิธีทางกายภาพ (Physical Exfoliator)
การผลัดเซลล์ผิวด้วยวิธีทางกายภาพ เป็นกระบวนการที่อาศัยกลไกทางกายภาพในการผลัดเซลล์ผิว นั่นก็คือการขัดหรือสครับผิวด้วยอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ฟองน้ำ แปรงขัดผิว ถุงมือ นอกจากนี้ยังนิยมใช้วัตถุดิบที่มีเนื้อหยาบและมีส่วนช่วยในการแก้ปัญหาผิวในส่วนอื่นๆ มาใช้แทนอุปกรณ์ด้วย ตัวอย่างเช่น
- การใช้น้ำตาลสครับผิว ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว
- การใช้มะขามสครับผิว ช่วยเพิ่มความเนียนนุ่ม กระจ่างใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- การใช้ข้าวโอ๊ตสครับผิว ข้าวโอ๊ตมีคุณสมบัติช่วยปลอบประโลมผิวและลดการอักเสบของผิว รวมทั้งช่วยลดการอุดตันของรูขมขนได้
แต่ทั้งนี้การผลัดเซลล์ผิวด้วยวิธีทางกายภาพนั้นไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย เนื่องจากอาจทำให้เกิดการระคายเคือง รวมทั้งในผู้ที่มีผิวบางก็อาจทำให้เกิดแผลถลอกขนาดเล็กได้
2. การผลัดเซลล์ผิวด้วยการใช้สารเคมี (Chemical Exfoliants)
การผลัดเซลล์ผิวด้วยการใช้สารเคมี เป็นกระบวนการที่ใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ เช่น กรดอัลฟาไฮดรอกซี (Alpha Hydroxy Acids) หรือ AHA และกรดเบต้าไฮดรอกซี (Beta Hydroxy Acid) หรือ BHA เข้าไปทำให้ผิวชั้นนอกหลุดออกและกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่
ซึ่งวิธีนี้ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน รวดเร็ว และมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการผลัดเซลล์ผิวด้วยวิธีการทางกายภาพ
สารประกอบที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวหน้า
สารประกอบที่นิยมนำมาใช้เพื่อผลัดเซลล์ผิวหน้า มีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ กรดอัลฟาไฮดรอกซี หรือ AHA และกรดเบต้าไฮดรอกซี หรือ BHA
1. กรดอัลฟาไฮดรอกซี หรือ AHA
เป็นกรดอ่อนๆ จากผลไม้ มีคุณสมบัติสำคัญในการเร่งการผลัดเซลล์ผิวเก่าบนใบหน้า กรดชนิดนี้มีโมเลกุลค่อนข้างเล็กทำให้ซึมลงสู่ผิวได้ดี รวมทั้งยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ช่วยให้ผิวดูเต่งตึงขึ้นด้วย
2. กรดเบต้าไฮดรอกซี หรือ BHA
เป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นมาจากธรรมชาติ สามารถละลายได้ดีในน้ำมัน เมื่อนำมาใช้กับผิวหน้าจึงมีคุณสมบัติสำคัญในการลดการอุดตันของรูขุมขน เนื่องจาก BHA มีโมเลกุลที่เล็ก ทำให้สามารถซึมลงไปล้างเอาไขมันที่ติดตามรูขุมขนให้หลุดออกได้อย่างล้ำลึก จึงสามารถผลัดเซลล์ผิวและลดขนาดของรูขุมขนได้ในคราวเดียวกัน
นอกจาก AHA และ BHA ยังมีการใช้สารประกอบอื่นๆ มาช่วยในการผลัดเซลล์ผิวหน้าอีกด้วย แต่อาจไม่เป็นที่นิยมมากนัก เช่น PHA (Poly Hydroxy Acid) ที่มีคุณสมบัติคล้ายกับ AHA และ LHA (Lipo Hydroxy Acid) ที่มีคุณสมบัติคล้ายกับ BHA
และเนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีฤทธิ์เป็นกรดจึงควรเลือกใช้ในระดับความเข้มข้นที่เหมาะสม เพราะการใช้ระดับความเข้มข้นที่สูงเกินไปอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ ซึ่งผลิตภัณฑ์กลุ่ม AHA ควรใช้ความเข้มข้นไม่เกินร้อยละ 10 และมีค่า pH 3.5 ขึ้นไป ส่วนกลุ่ม BHAs ควรใช้ความเข้มข้นร้อยละ 1.5-2
AHA และ BHA แตกต่างกันอย่างไร?
AHA และ BHA ล้วนเป็นสารประกอบที่ช่วยเรื่องการผลัดเซลล์ผิวทั้งคู่ แต่มีบางคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ทำให้สารประกอบทั้งสองชนิดจึงเหมาะกับผู้ที่มีสภาพผิวที่ต่างกัน
AHA มีคุณสมบัติในการละลายน้ำได้ดี แต่จะไม่สามารถเข้าสู่รูขมขนและเข้าไปยังชั้นใต้ผิวได้ ในขณะที่ BHA สามารถละลายได้ในน้ำมัน ทำให้สามารถซึมเข้าสู่รูขมขนและเข้าไปยังชั้นใต้ผิวได้ BHA จึงสามารถทำความสะอาด ขจัดสิ่งตกค้างที่อยู่ในรูขมขน และละลายสิวอุดตันได้
หรืออาจกล่าวได้อีกมุมว่า AHA เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหน้าแห้ง ผิวหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ เพราะเน้นที่การแก้ปัญหาของผิวหนังชั้นบน ในขณะที่ BHA จะเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน รูขุมขนกว้าง และมีปัญหาสิว เพราะเน้นที่จะเข้าไปช่วยลดความมันส่วนเกินและทำความสะอาดในรูขุมขนเป็นหลัก
วิธีการผลัดเซลล์ผิวหน้า ที่เหมาะกับแต่ละสภาพผิว
การเลือกวิธีผลัดเซลล์ผิวหน้าที่เหมาะกับสภาพผิว นอกจากจะช่วยให้การผลัดเซลล์ผิวมีประสิทธิภาพแล้ว ยังช่วยลดโอกาสเกิดการระคายเคืองผิวและอาการแพ้ได้อีกด้วย
- สำหรับผิวธรรมดา สามารถเลือกผลัดเซลล์ผิวหน้าด้วยวิธีการใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการสครับผิว หรือแม้การใช้สารเคมี แต่ทั้งสองวิธีก็ควรทำอย่างเหมาะสม คือ หลีกเลี่ยงการสครับหน้ามากกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์ รวมถึงควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ตนเองแพ้
- สำหรับผิวแห้ง ควรเลือกใช้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA เพราะนอกจากจะช่วยผลัดเซลล์ผิวแล้วยังช่วยให้ผิวเนียนนุ่มมากขึ้น ส่วนสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง คือ การใช้ BHA เพราะอาจทำให้เกิดอาการหน้าแห้งหนักขึ้น รวมถึงไม่ควรสครับผิวหน้าด้วย
- สำหรับผิวแพ้ง่าย ควรเลือกใช้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ BHA เพราะมีความอ่อนโยนมากกว่า หลีกเลี่ยงการใช้ AHA และการสครับผิว เพราะอาจเกิดอาการระคายเคืองได้
- สำหรับผิวมัน ควรเลือกใช้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ BHA เพราะสามาถช่วยลดความมันบนใบหน้า ลดการอุดตันของรูขุมขน และช่วยผลัดเซลล์ผิวหน้าได้ในคราวเดียว
- สำหรับผิวผสม อาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แยกตามบริเวณที่มีสภาพผิวต่างๆ ด้วยวิธีที่กล่าวไปก่อนหน้า
การเตรียมตัวก่อนผลัดเซลล์ผิวหน้า
ในการเตรียมตัวก่อนผลัดเซลล์ผิวหน้าด้วยตนเอง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีข้อมูลว่าผิวของตนมีลักษณะแบบใดและควรใช้ผลิตภัณฑ์แบบใด หากไม่แน่ใจสามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ที่ Better Me Clinic ได้ฟรี! หรือสอบถามเภสัชใกล้บ้านได้เลย
แต่ในปัจจุบัน นอกจากการผลัดเซลล์ผิวด้วยวิธีที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว เรายังสามารถผลัดเซลล์ผิวด้วยการทำ Peeling ได้ ซึ่งวิธีนี้เป็นการผลัดเซลล์ผิวหน้าที่มีลักษณะการทำงานคล้ายกับสครับผิว แต่เป็นการใช้เนื้อเจลมาถูเบาๆ ทั่วหน้า สามารถทำได้ทุกสภาพผิวแม้ว่าจะเป็นผู้ที่มีสิวหรือมีผิวบอบบางก็ตาม
หากต้องการทำ Peeling ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินผิวเสียก่อน และถ้าหากตัดสินใจที่จะทำแล้วก็ควรงดการมาสก์หน้าอย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนผลัดเซลล์ผิวด้วย
การดูแลตัวเองหลังผลัดเซลล์ผิวหน้า
การผลัดเซลล์ผิวหน้า หากทำอย่างถูกวิธี ผิวหน้าจะต้องไม่ได้รับความบาดเจ็บ การดูแลผิวหน้าหลังทำจึงไม่ได้แตกต่างไปจากก่อนทำมากนัก เพียงแค่ควรหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดจ้า เพราะผิวหน้าที่เพิ่งผลัดเซลล์ผิวมาจะมีความบางกว่าปกติ หากเจอแสงแดดส่องโดยตรงอาจทำให้ผิวไหม้ได้
ทำทรีตเมนต์ ผลัดเซลล์ผิวหน้า ที่ไหนดี?
อ่านมาถึงตรงนี้ทุกคนน่าจะรู้กันแล้วว่าการผลัดเซลล์ผิวหน้ามีความสำคัญขนาดไหน หากคุณกำลังมองหาสถานที่ในการทำทรีตเมนต์ ผลัดเซลล์ผิวหน้าอยู่ ให้ Better Me Clinic by Dr. Chanya เป็นหนึ่งในทางเลือก เพราะเรามีบริการ Peeling ผลัดเซลล์ผิวหน้าด้วยเนื้อเจล ที่มีให้เลือกถึง 4 สูตร ตอบโจทย์ทุกปัญหาผิว
หรือหากต้องการดูแลรักษาผิวไปอีกขั้น เราก็มีบริการทรีตเมนต์ให้เลือกถึง 5 สูตร นอกจากจะได้ผลัดเซลล์ผิวหน้าแล้ว ยังได้รับการบำรุงผิวอย่างล้ำลึกด้วย ที่สำคัญคือทุกบริการให้บริการโดยแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น
หากยังไม่มั่นใจว่าควรเลือกผลัดเซลล์ผิวหน้าด้วยวิธีใด สามารถติดต่อเข้ามาที่ Better Me Clinic by Dr. Chanya เพื่อให้คุณหมอประเมินสภาพผิวและแนะนำหัตการที่เหมาะสมแบบเคสบายเคส หากสนใจ สามารถติดต่อนัดหมายได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-059-8118, 088-603-2641 หรือไลน์ @bettermeclinic ปรึกษาคุณหมอฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย รับรองว่าคุณจะมีผิวสวยๆ กลับบ้านไปอย่างแน่นอน
- Better Me Clinic, 4 สูตร Peeling ผลัดเซลล์ผิว ลดสิวด้วยกรดผลไม้จากธรรมชาติ (https://bettermeclinicofficial.com/aesthetic/skin-brightening/peeling/), 15 ธันวาคม 2566.
- Bioderm, ผลัดเซลล์ผิวหน้าอย่างไร ให้หน้าเนียน กระจ่างใส (https://www.bioderma.co.th/your-skin/clean-your-skin/exfoliate-for-bright-skin), 15 ธันวาคม 2566.
- Thairath, 5 “สูตรสครับหน้า” สวยง่ายๆ แบบใสปิ๊ง (https://www.thairath.co.th/lifestyle/woman/1759541), 15 ธันวาคม 2566.
- Pobpad, ผลัดเซลล์ผิวอย่างปลอดภัยทำได้ที่บ้าน (https://www.pobpad.com/ผลัดเซลล์ผิวอย่างปลอดภ), 15 ธันวาคม 2566.
- Pione, กระบวนการผลัดเซลล์ผิว ตัวช่วยของร่างกายที่ทำให้ผิวสวยและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (https://pione.co.th/ipl-solutions/skin-cell-turnover/), 15 ธันวาคม 2566.