fbpx

🔥FREE! Schedule a 3D Facial Design consultation with Dr.Chanya only this month 🇺🇸 🇰🇷 🔥

หน้าหย่อนคล้อย หนึ่งตัวการเร่งหน้าแก่ จัดการยังไงให้อยู่หมัด

หน้าหย่อนคล้อย หนึ่งตัวการเร่งหน้าแก่ จัดการยังไงให้อยู่หมัด
หน้าหย่อนคล้อย หนึ่งตัวการเร่งหน้าแก่ จัดการยังไงให้อยู่หมัด

หน้าหย่อนคล้อยหนึ่งปัญหากวนใจ ยิ่งถ้าหากมาก่อนวัยก็จะยิ่งทวีคูณความกังวลใจไปอีกเท่าตัว เพราะนอกจากผิวหย่อนคล้อยจะเป็นตัวการของริ้วรอยร่องตื้นแล้ว ยังทำให้รูปหน้าเปลี่ยนไป กรอบหน้าไม่ชัด และดูมีอายุขึ้นอย่างชัดเจน

แต่ด้วยปัจจุบันที่นวัตกรรมทางด้านการแพทย์และการเสริมความงามพัฒนามาไกลแล้ว บอกเลยว่าปัญหาแค่นี้ Better Me Clinic เอาอยู่! เพราะเราสามารถใช้เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาแก้ปัญหาได้ภายในไม่กี่นาที ว่าแต่หน้าหย่อนคล้อยเกิดขึ้นได้อย่างไร? และจะรักษาได้อย่างไรได้บ้าง? บทความนี้มีคำตอบ!

ปรึกษาหมอชัญญาโดยตรง
ปรึกษาหมอชัญญาโดยตรง

หน้าหย่อนคล้อยเกิดจากอะไร?

หน้าหย่อนคล้อย (Sagging Skin) เป็นปัญหาผิวที่พบได้ทั่วไป สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย มีสาเหตุมาจากผิวสูญเสียความยืดหยุ่นและความกระชับ ทำให้เกิดริ้วรอยร่องตื้น ผิวย้วย กรอบหน้าไม่ชัด ส่วนมากมักเกิดขึ้นเมื่อมีอายุ 30 ปีขึ้นไป แต่ถ้าหากปัญหานี้เกิดขึ้นเร็วก็จะนำไปสู่การมีปัญหาหน้าแก่ก่อนวัยได้ โดยปัจจัยที่ทำให้เกิดหน้าหย่อนคล้อย มีดังนี้

  • อายุ นับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาหน้าหย่อนคล้อย เนื่องจากใต้ผิวของเราจะมีคอลลาเจนและอีลาสตินซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวค้ำจุนผิว ช่วยให้ผิวเต่งตึง ดูกระชับอยู่ แต่เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายจะผลิตสารเหล่านี้ได้ลดลง ทำให้ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่น รวมถึงไขมันใต้ผิวหน้าจะเริ่มสลายตัว กล้ามเนื้อใบหน้าที่ช่วยพยุงใบหน้าจะเริ่มอ่อนแอลง ทำให้ใบหน้าดูตอบ สูบ หย่อนยาน และเกิดริ้วรอย

  • พันธุกรรม เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีบทบาทอย่างมากต่อการเกิดปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ถึงแม้จะไม่ใช่สาเหตุโดยตรง แต่พันธุกรรมก็เป็นตัวกำหนดโครงสร้างผิว ทั้งจำนวนคอลลาเจนและอีลาสติน ชั้นไขมัน รวมถึงกระบวนการซ่อมแซมผิว ทำให้ผู้ที่มีจำนวนคอลลาเจนและอีลาสตินน้อยมาตั้งแต่กำเนิดหรือมีกระบวนการซ่อมแซมผิวที่ไม่มีประสิทธิภาพ จึงอาจมีผิวหย่อนคล้อยได้ง่ายกว่าผู้อื่น

  • แสงแดด ในแสงแดดจะมีรังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งเป็นรังสีที่สามารถทะลุผ่านผิวหนังลงไปได้ลึกถึงชั้นหนังแท้ ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวเสื่อมสภาพและลดจำนวนลง นอกจากนี้ยังทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระภายในผิวหนัง ทำลายความยืดหยุ่นของเซลล์ และกระตุ้นให้ผิวเกิดการอักเสบ แสบร้อนได้

  • พฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะการรับประทานอาหารที่มีรสหวานหรืออาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตเป็นประจำ เนื่องจากการย่อยอาหารประเภทนี้จะทำให้เกิดกระบวนการแซคคาริฟิเคชัน (Saccharification) ซึ่งเป็นกระบวนการย่อยแป้งเป็นโมเลกุลน้ำตาล กระบวนการนี้จะส่งผลให้การสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินลดลง รวมถึงรบกวนกระบวนการฟื้นฟูผิวตามธรรมชาติ

  • พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ เช่น การนอนดึกเป็นประจำ เนื่องจากช่วงเที่ยงคืนถึงตีสองเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายจะหลั่งสารเมลาโทนิน (Melatonin) ออกมาเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หากไม่ได้พักผ่อนในเวลานี้ก็จะทำให้ผิวไม่ได้รับการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้แล้วการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา ยังทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดผิดปกติ กระตุ้นการสร้างอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการทำลายเซลล์ผิวและเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งผิวหนังอีกด้วย

  • การขาดวินัยในการดูแลผิว โครงสร้างของผิวมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก หากไม่เติมน้ำหรือความชุ่มชื้นไปหล่อเลี้ยงผิวจะทำให้ผิวเสื่อมสภาพลง รวมถึงการเช็ดเครื่องสำอางด้วยการถูใบหน้าแรงๆ เป็นประจำอาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองและเพิ่มโอกาสในการเกิดผิวหย่อนคล้อยได้

หน้าหย่อนคล้อยมีลักษณะอย่างไร?

หน้าหย่อนคล้อย คือ ผิวที่มีลักษณะขาดความยืดหยุ่นและความกระชับ ทำให้เกิดริ้วร่องตื้น ร่องลึก กรอบหน้าไม่ชัด และผิวย้วย เมื่อเป็นแล้วจะทำให้หน้าดูมีอายุ โดยผิวแต่ละบริเวณเมื่อเกิดการหย่อนคล้อยจะทำให้มีลักษณะที่แตกต่างกันไป ดังนี้

  • บริเวณหน้าผากและคิ้ว เกิดริ้วรอยที่มีลักษณะเป็นร่องพับจีบ คิ้วตก สังเกตได้จากระยะห่างระหว่างคิ้วและไรผมที่กว้างขึ้น
  • บริเวณรอบดวงตา หนังตาหย่อนคล้อย ในบางรายที่มีผิวหย่อนคล้อยมาก หนังตาที่ตกลงมาอาจรบกวนการมองเห็นได้ รวมถึงสามารถสังเกตเห็นปัญหาใต้ตาได้ชัดเจนขึ้น
  • บริเวณจมูก ปลายจมูกดูงุ้มและเตี้ยลง
  • บริเวณแก้ม มีปัญหาร่องแก้มและร่องน้ำหมากลึก กรอบหน้าไม่ชัด มีลักษณะเป็นตัวยู อีกทั้งยังทำให้กรอบหน้ารวมถึงลำคอกลมกลืนกันจนสังเกตเห็นได้ยาก 
  • บริเวณปาก มุมปากตก ทำให้มีลักษณะคล้ายคนที่มีหน้าตาบึ้งตึงตลอดเวลา ระยะห่างระหว่างจมูกกับริมฝีปากบนกว้างมากขึ้น

นอกจากบริเวณใบหน้าแล้ว ลำคอก็เป็นอีกหนึ่งบริเวณที่มักเกิดผิวหย่อนคล้อยเช่นกัน เมื่อเป็นแล้วจะทำให้กรอบหน้าและลำคอกลมกลืนกันมากขึ้น สังเกตเห็นเหนียงและคางสองชั้น อีกทั้งยังทำให้คอดูป้านรวมถึงใหญ่ขึ้นอีกด้วย

วิธีฟื้นฟูผิวหน้าหย่อนคล้อย

หากคุณเป็นหนึ่งคนที่กำลังประสบปัญหาผิวหย่อนคล้อย การดูแลผิวด้วยวิธีต่างๆ เหล่านี้อาจช่วยฟื้นฟูผิว ทำให้ใบหน้ากลับมาเต่งตึงและกระชับขึ้นได้อีกครั้ง

1. ออกกำลังกายใบหน้า

การออกกำลังกายใบหน้าเป็นหนึ่งในวิธีบริหารกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ช่วยกระชับกล้ามเนื้อ ลดเลือนริ้วรอย และทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลง สามารถทำได้หลายท่า ดังนี้

  • ยกคางขึ้น สามารถทำได้โดยการยืนขึ้น ไขว้แขนทั้งสองข้างไว้ที่หน้าอก ค่อยๆ ยกคางขึ้นจนรู้สึกตึงบริเวณลำคอ จากนั้นค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วนับ 1 ถึง 10 และกลับสู่ท่าเริ่มต้น การออกกำลังใบหน้าด้วยท่านี้จะช่วยกระชับใบหน้า ลดการเกิดเหนียงและคางสองชั้นได้
  • ดึงริมฝีปากลง สามารถทำได้โดยการดึงมุมริมฝีปากลงจนรู้สึกตึง จากนั้นค่อยๆ ปล่อยปากกลับสู่ตำแหน่งเดิม ทำซ้ำอย่างน้อย 5 ครั้งหรือจนกว่าจะรู้สึกเมื่อยบริเวณใบหน้า การออกกำลังกายใบหน้าด้วยท่านี้จะช่วยลดปัญหาแก้มหย่อนคล้อยได้
  • เขียนอากาศ สามารถทำได้โดยการนั่งหลังตรง จากนั้นให้ใช้ปากคาบดินสอแล้วพยายามเขียนคำต่างๆ บนอากาศโดยห้ามขยับศีรษะ ทำต่อเนื่องครั้งละ 3 นาที ติดต่อกัน 2-3 ครั้ง การออกกำลังกายใบหน้าด้วยท่านี้จะช่วยทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนบนใบหน้าแข็งแรงและยืดหยุ่นมากขึ้น

2. นวดกัวซา

การนวดกัวซาหรือกวาซา (Gua Sha หรือ Skin Scraping) เป็นศาสตร์การบำบัดแผนจีน โดยการนำหินที่มีความโค้งเล็กน้อย เรียบและลื่น มากดตามจุดต่างๆ ของใบหน้าเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด  และขจัดสารพิษ

การนำหินกัวซามาใช้นวดบริเวณใบหน้า ความเย็นจากหินจะช่วยคลายกล้ามเนื้อ ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ไปพร้อมๆ กับทำให้ใบหน้าดูกระชับ ดูอ่อนเยาว์ รวมถึงทำให้ใบหน้ากระจ่างใสขึ้นด้วย

การใช้กัวซาให้เกิดประสิทธิภาพ ควรเตรียมผิวให้สะอาดและใช้กัวซาควบคู่ไปกับครีมหรือออยล์บำรุงผิวเพื่อให้ง่ายต่อการนวดและลดแรงเสียดทานระหว่างการนวด 

ซึ่งการนวดกัวซาในแต่ละบริเวณอาจมีลักษณะที่แตกต่างกันไป เช่น การนวดบริเวณคางและคอจะต้องจับกัวซาให้อยู่ในมุม 45 องศา เริ่มจากด้านล่างของคอขึ้นไปจนถึงคางและนวดจากกรอบหน้าไล่ขึ้นไปจนมีความสูงระดับจมูก ในขณะที่การนวดบริเวณจมูกจะนวดจากบริเวณด้านบนลงมาถึงร่องแก้ม และการนวดแก้มจะเริ่มจากนวดด้านในออกด้านนอก เพื่อยกกระชับแก้มและโครงหน้า

3. การใช้สกินแคร์

ริ้วรอยนับเป็นหนึ่งปัญหาเริ่มต้นของการมีผิวหย่อนคล้อย ดังนั้นการใช้ผลิตภัณฑ์สูตรลดริ้วรอยจึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการรักษาปัญหาผิวหย่อนคล้อยระยะเริ่มต้น แต่ก็จำเป็นต้องอาศัยระยะเวลาและวินัยอย่างต่อเนื่อง

โดยผลิตภัณฑ์ที่ควรมองหา คือ ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติในการให้ความชุ่มชื้นกับผิว รวมถึงกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของกรดไฮยาลูโรนิก กรดอัลฟาไฮดรอกซี (AHA) เรตินอยด์ (Retinoids) และโคเอนไซม์ คิวเทน (Coenzyme Q10)

วิธีรักษาผิวหน้าหย่อนคล้อยด้วยเทคนิคการแพทย์

วิธีการแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อยด้วยเทคนิคการแพทย์ สามารถทำได้หลายวิธีตั้งแต่การลดการทำงานของกล้ามเนื้อ การเติมเต็มผิวในส่วนที่หายไป กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นใหม่ ไปจนถึงการผ่าตัดเพื่อให้ใบหน้าเต่งตึงในระยะยาว โดยวิธีที่ Better Me Clinic แนะนำ มีดังนี้

1. การฉีดโบท็อกซ์

การฉีดโบท็อกซ์ หรือ สารโบทูลินั่มท็อกซิน (Botulinum Toxin) เป็นวิธีรักษาผิวหย่อนคล้อยที่มีประสิทธิภาพ ทำได้โดยการฉีดตัวยาเข้าไปรบกวนการทำงานของระบบประสาท ทำให้มัดกล้ามเนื้อบริเวณที่ได้รับตัวยาคลายตัวและทำงานลดลงชั่วคราว

ส่วนมากแล้วโบท็อกซ์มักถูกนำมาใช้ในการรักษาริ้วรอยร่องตื้น เนื่องจากสามารถช่วยให้ริ้วรอยดูจางลงได้ภายในเวลาเพียง 2 สัปดาห์ แต่นอกจากการลดเลือนริ้วรอยแล้ว โบท็อกซ์ยังสามารถนำมาใช้ในการยกกระชับกรอบหน้าด้วยการฉีดตัวยาเข้าไปที่บริเวณกรอบหน้าและใต้คาง เพื่อคลายกล้ามเนื้อส่วนคอไม่ให้ดึงแก้มลง ทำให้กรอบหน้าดูชัดเจนขึ้น

2. การฉีดฟิลเลอร์

การฉีดฟิลเลอร์ คือ การฉีดสารเติมเต็มที่มีส่วนประกอบสำคัญอย่างไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid : HA) ซึ่งมีส่วนช่วยในการกักเก็บความชุ่มชื้นลงไปบริเวณที่มีปัญหาผิว โดยตัวยาจะไปจับตัวกับน้ำและพองตัวขึ้นจนมีลักษณะคล้ายเจล ทำให้ผิวบริเวณนั้นฟูขึ้น ใบหน้าจึงดูกระชับ ริ้วรอยดูจางลง เหมาะอย่างมากต่อการรักษาผิวหย่อนคล้อยที่เกิดจากกระดูกยุบตัวหรือผิวที่ไขมันบนใบหน้าลดลง

โดยบริเวณที่แพทย์มักแนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์เพื่อรักษาอาการหน้าหย่อนคล้อย ได้แก่ ขมับ โหนกแก้ม แก้มส้ม แก้มตอบ กรอบหน้า ซึ่งปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้จะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล  แต่ส่วนมากแล้วการรักษาหน้าหย่อนคล้อยจะใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 2-3 ซีซี

3. HIFU

HIFU (High Intensity Focused Ultrasound) หรือ ไฮฟู่ เป็นเครื่องมือยกกระชับผิวที่ใช้คลื่นอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูงเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อผิวชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ทำให้ผิวชั้นนี้หดตัวและเกิดการกระตุ้นสร้างคอลลาเจนรวมถึงเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่

การทำ HIFU สามารถลดเลือนริ้วรอย ยกกระชับผิวหน้า ไปพร้อมๆ กับการฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึกได้ ผิวจึงเรียบเนียน แลดูอ่อนเยาว์ขึ้น โดยทั่วไป HIFU จะเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำ แต่ผลลัพธ์จะค่อยๆ ดีขึ้นและเห็นผลชัดเจนที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปราวๆ 2 เดือน และคงผลลัพธ์ไว้ได้นาน 4-6 เดือน

แต่ถ้าหากต้องการผลลัพธ์ในอีกระดับ Better Me Clinic ขอแนะนำการทำ HIFU ด้วยเครื่อง Ultraformer lll ซึ่งเป็นเครื่องมือการทำ HIFU ที่ใช้นวัตกรรม MMFU (Micro & Macro Focused Ultrasound) หรือการใช้พลังงานถึง 2 รูปแบบ เข้าไปช่วยกระตุ้นการทำงานใต้ผิว ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการทำ HIFU แบบทั่วไปถึง 5 เท่า และผลลัพธ์จะคงประสิทธิภาพไว้ได้นานประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี

นอกจากนี้แล้วอีกหนึ่งหัตถการที่ไม่ควรพลาด คือ การทำ HIFU ด้วยเครื่อง Ulthera ซึ่งเป็นเครื่อง HIFU ที่มีหลักการทำงานโดดเด่นกว่าเครื่องอื่นๆ เพราะมีหัวยิงที่มีขนาดจุดโฟกัสเล็กกว่า รวมถึงมีจอแสดงผลแบบเรียลไทม์ ทำให้แพทย์สามารถสังเกตเห็นชั้นผิวและแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยได้อย่างตรงจุด สามารถแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้ทั้งในบริเวณกว้างและบริเวณเล็กๆ ที่ต้องการความแม่นยำ 

ที่สำคัญการทำ Ulthera เพียง 1 ครั้ง ยังสามารถคงผลลัพธ์ได้นานถึง 1 ปี แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวก่อนรับบริการรวมถึงการดูแลตัวเองหลังรับบริการด้วย

4. ผ่าตัดดึงหน้า

การผ่าตัดดึงหน้า (Facelift) เป็นวิธีรักษาผิวหน้าหย่อนคล้อยที่คงผลลัพธ์ไว้ได้นานที่สุด ทำได้โดยการที่แพทย์จะผ่าตัดเลาะเนื้อผิวลงไปยังชั้นเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อส่วนบน หรือชั้นผิว SMAS แล้วแก้ไข ปรับแต่งให้ผิวชั้นนี้ตึงขึ้น รวมถึงตัดเนื้อส่วนที่หย่อนยานทิ้งไป

การผ่าตัดดึงหน้าสามารถทำได้หลายส่วน เช่น หน้าผาก หางตา หนังตา ร่องแก้ม มุมปาก และกรอบหน้า เมื่อทำแล้วสามารถคงประสิทธิภาพของผลลัพธ์ไว้ได้นาน 5-10 ปี

วิธีป้องกันไม่ให้หน้าหย่อนคล้อย

การดูแลผิวให้แข็งแรงอยู่ตลอดเวลาเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยป้องกันการเกิดปัญหาผิวอื่นๆ ได้ โดยวิธีการดูแลผิวให้แข็งแรงเพื่อป้องกันไม่ให้หน้าหย่อนคล้อยสามารถทำได้ดังนี้

  • หลีกเลี่ยงแสงแดด หากจำเป็นต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานาน ควรสวมหมวกปีกกว้าง ร่วมกับการใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 50 PA+++ เพื่อป้องกันผิวจากแสงแดด รวมถึงควรทาครีมกันแดดซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมงด้วย
  • ดูแลผิวให้มีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ เนื่องจากผิวมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก การมีผิวที่ชุ่มชื้นจะช่วยฟื้นฟูให้เกราะป้องกันผิวที่อ่อนแอกลับมายืดหยุ่นอีกครั้ง
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ สลับหมุนเวียนกันไป รวมถึงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวาน การทำเช่นนี้จะช่วยลดอนุมูลอิสระที่เกิดจากกระบวนการเผาผลาญได้
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยให้ระบบไหลเวียนทำงานได้ดีขึ้น และเป็นการชะลอวัยโดยธรรมชาติอีกด้วย
  • งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้สารอนุมูลอิสระเพิ่มมากขึ้น

แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อยที่ไหนดี?

จะเห็นได้ว่าการดูแลปัญหาหน้าหย่อนคล้อยนั้นทำได้ไม่ยาก แต่ต้องเลือกวิธีที่เหมาะสมกับสภาพผิว รวมถึงการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์อาจเป็นวิธีที่รวดเร็วและให้ผลลัพธ์ชัดเจนที่สุด หากคุณกำลังสนใจที่จะดูแลปัญหาหน้าหย่อนคล้อย ให้ Better Me Clinic by Dr. Chanya เป็นหนึ่งในทางเลือก 

เพราะเรามีบริการดูแลปัญหาหน้าหย่อนคล้อยให้เลือกอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการฉีดฟิลเลอร์ ฉีดโบท็อกซ์ และหัตถการยกกระชับ ซึ่งทุกบริการเราให้บริการโดยแพทย์ผู้ชำนาญเท่านั้น

หากยังไม่มั่นใจว่าควรเลือกดูแลปัญหาหน้าหย่อนคล้อยด้วยวิธีใด สามารถติดต่อเข้ามาที่ Better Me Clinic by Dr. Chanya เพื่อให้คุณหมอประเมินสภาพผิวและแนะนำหัตถการที่เหมาะสมแบบเคสบายเคสได้เลย สามารถติดต่อนัดหมายได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-059-8118, 088-603-2641 หรือไลน์ @bettermeclinic ปรึกษาคุณหมอฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

  • BRIGHT SIDE, 8 Effective Exercises to Slim Down Your Face (https://brightside.me/articles/8-effective-exercises-to-slim-down-your-face-376260/), 12 April 2024.
  • HDmall, ดึงหน้า จบปัญหาความหย่อน(https://hdmall.co.th/c/face-lift), 12 เมษายน 2567.
  • โรงพยาบาลเพชรเวช, โรคทางผิวหนัง ที่เกิดจากแสงแดด (https://www.petcharavejhospital.com/en/Article/article_detail/skin-disease-caused-by-sunlight), 12 เมษายน 2567.

เว็บไซต์นี้ มีการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ (Cookies) เพื่อมอบบริการที่ดีที่สุดสำหรับคุณ