ผิวขาดน้ำ VS ผิวแห้ง ผิวเราตอนนี้เป็นแบบไหน? แวะเช็กให้ชัวร์ได้ที่นี่!
“ผิวขาดน้ำ” หนึ่งในปัญหาผิวที่ใครๆ หลายคนมักสับสนกับผิวแห้ง แต่รู้หรือไม่ว่าผิวขาดน้ำนั้นส่งผลเสียมากกว่าการมีผิวแห้งหลายเท่า เพราะผิวขาดน้ำเป็นตัวการสำคัญของการเกิดปัญหาผิวต่างๆ ตั้งแต่การมีผิวแพ้ง่าย รูขุมขนกว้าง สิว ริ้วรอย ผิวหมองคล้ำ หรือแม้กระทั่งมีผิวหยาบกร้าน หย่อนคล้อย
ถึงอย่างไรก็ตาม ปัญหาผิวขาดน้ำยังสามารถป้องกันและรักษาได้ด้วยวิธีง่ายๆ! วันนี้ Better Me Clinic จึงจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับผิวขาดน้ำให้มากขึ้น เพื่อทำความเข้าใจก่อนจะจัดการกับปัญหานี้กันได้อย่างอยู่หมัด!
ผิวขาดน้ำคืออะไร?
ผิวขาดน้ำ (Dehydrated Skin) คือ สภาวะที่ผิวขาดความชุ่มชื้น เนื่องจากมีน้ำไปหล่อเลี้ยงที่ผิวหนังไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายพยายามผลิตน้ำมันออกมาเพื่อทดแทนความชุ่มชื้นที่เสียไป
ผู้ที่มีอาการผิวขาดน้ำจึงมักมีน้ำมันเคลือบอยู่บริเวณด้านบนของผิวตลอดเวลา แต่เมื่อสัมผัสผิวที่แท้จริง จะพบว่าผิวมีความแห้งกร้าน ไม่เรียบเนียน
หลายคนมักเข้าใจผิดว่าผิวขาดน้ำจะเกิดในผู้ที่มีผิวแห้งเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วปัญหาผิวขาดน้ำสามารถเกิดได้ในทุกสภาพผิว รวมถึงยังสามารถเกิดได้กับทุกเพศ ทุกวัยอีกด้วย
ผิวขาดน้ำเกิดจากอะไร?
โดยทั่วไปแล้ว ผิวหนังของเราสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชั้นหลักๆ คือ ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) และชั้นหนังแท้ (Dermis) ซึ่งทั้งสองชั้นยังประกอบไปด้วยชั้นย่อยๆ อีกหลายชั้น โดยชั้นที่เกี่ยวข้องกับการกักเก็บน้ำ คือ ชั้นนอกสุด (Stratum Corneum) เพราะเป็นชั้นที่มีเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) อยู่
ซึ่งถ้าหากเกราะป้องกันผิวขาดสารที่ให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ (Natural Moisturizing Factor) อย่างกรดอะมิโน กรดแลคติก เคราติน กรดไขมัน เซราไมด์ และคอลเลสเตอรอลไป ก็จะทำให้ผิวเสียสมดุลในการรักษาความชุ่มชื้น
นอกจากนี้ ในผู้ที่มีผิวขาดน้ำบางรายอาจเกิดจากการที่น้ำระเหยออกมาจากต่อมเหงื่อและรูขุมขนโดยตรงมากผิดปกติ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วควรจะระเหยออกมาไม่เกิน 2.25 ไมโครลิตรต่อตารางเมตรต่อวินาที แต่ถ้าหากเกินกว่านี้อาจส่งผลให้ผิวขาดความชุ่มชื้นได้
สำหรับปัจจัยที่ทำให้เกิดเกิดกลไกเหล่านี้ ได้แก่
1. อายุ
เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ระบบต่างๆ ในร่างกายจะเสื่อมสภาพลงตามการใช้งาน ซึ่งรวมถึงการทำงานของเซลล์ผิวด้วย เพราะเมื่ออายุมากขึ้น ถึงแม้ว่าเซลล์ผิวหนังจะยังมีจำนวนเท่าเดิม แต่ฮอร์โมนที่มีหน้าที่ในการกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมันกลับทำงานได้น้อยลง รวมถึงสารที่ให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติก็ผลิตออกมาได้น้อยลง สมดุลความชุ่มชื้นของผิวจึงเปลี่ยนแปลงไป ทำให้เกราะป้องกันผิวที่เคยแข็งแรงค่อยๆ อ่อนแอลงและเพิ่มโอกาสในการสูญเสียน้ำออกจากผิวมากขึ้นเรื่อยๆ
2. สภาพแวดล้อม
แสงแดดเป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาผิวขาดน้ำได้ เนื่องจากในแสงแดดจะมีรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ที่มีฤทธิ์ในการกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) ส่งผลให้เกิดอนุมูลอิสระในโครงสร้างผิวจนเกราะป้องกันผิวอ่อนแอลง รวมถึงยังทำลายโมเลกุลของสารที่ให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ ผิวจึงไม่สามารถกักเก็บน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพและระเหยออกจากผิวได้ง่ายขึ้น
รวมถึงสภาพอากาศที่เย็นมากเกินไปก็สามารถทำให้ผิวขาดน้ำได้เช่นกัน เนื่องจากอากาศหนาวจะทำให้ความชื้นในอากาศลดลง และเพื่อให้อากาศเกิดความสมดุล ความชื้นที่อยู่ใต้ผิวหนังจึงถูกนำมาใช้แทน ผู้ที่อยู่ในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศเป็นเวลานานๆ จึงมีโอกาสที่จะมีผิวขาดน้ำได้มากกว่าคนอื่น
3. พฤติกรรมการใช้ชีวิต
การดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันเป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำให้เป็นนิสัย เนื่องจากน้ำมีส่วนสำคัญต่อระบบเมตาบอลิซึม รวมถึงยังถูกดึงไปใช้ในกระบวนการต่างๆ ภายในร่างกาย ซึ่งถ้าหากเราดื่มน้ำไม่เพียงพอ น้ำที่ควรจะมาให้ความชุ่มชื้นบริเวณผิวหนังก็จะถูกดึงไปใช้ในกระบวนการอื่นๆ ที่สำคัญมากกว่า ทำให้ผิวของเราเสียสมดุลความชุ่มชื้นจนเกิดอาการผิวหน้ามันหรือหน้าแห้งได้
นอกจากนี้การระเหยของน้ำใต้ชั้นผิวยังสัมพันธ์กับการหลั่งของเหงื่ออีกด้วย เพราะเมื่อมีการหลั่งของเหงื่อก็จะทำให้มีน้ำใต้ชั้นผิวระเหยปะปนออกมา ดังนั้นหากมีการออกกำลังกายอย่างหนักหรือต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งก็ควรจิบน้ำอยู่เสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะขาดน้ำ
4. ปัญหาสุขภาพ
ปัญหาสุขภาพบางอย่างอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคซิสติกไฟโบรซิส และความผิดปกติของไต เนื่องจากโรคเหล่านี้อาจทำให้มีเหงื่อออกหรือปัสสาวะได้บ่อยขึ้น รวมถึงโรคผิวหนังบางชนิดก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้น้ำระเหยออกจากผิวหนังได้ง่ายขึ้นเหมือนกัน เช่น โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ โรคดักแด้ และโรคสะเก็ดเงิน เป็นต้น
5. การรับประทานยาบางชนิด
ปัจจุบันมียาหลายชนิดที่อาจส่งผลต่อความสมดุลของของเหลวในร่างกาย และส่งผลให้เกิดภาวะขาดน้ำได้ เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาระบาย ยาลดกรด ยาแก้แพ้ และยาลดความดันโลหิต หากมีอาการจากภาวะขาดน้ำมาก แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อเปลี่ยนยาให้เหมาะสมต่อไป
ผิวขาดน้ำมีลักษณะอย่างไร?
อาการโดยทั่วไปของผิวขาดน้ำ คือ ผิวหน้าจะมีความมันเคลือบอยู่บนผิว แต่เมื่อสัมผัสที่ผิวจะรู้สึกได้ถึงความแห้งกร้านและสากมือ รวมถึงอาจมีผิวหมองคล้ำและเริ่มเกิดริ้วรอยร่องตื้นขนาดเล็กๆ กระจายอยู่ทั่วใบหน้า ทำให้ผู้ที่มีปัญหาผิวขาดน้ำมักจะมีปัญหาแต่งหน้าไม่ติด เครื่องสำอางเป็นคราบ และอาจมีเครื่องสำอางตกร่องบริเวณริ้วรอยด้วย
ซึ่งอาการทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นเป็นลักษณะอาการทั่วไปเท่านั้น ผิวขาดน้ำยังสามารถจำแนกออกมาเป็นลักษณะต่างๆ ตามสภาพผิวได้อีก ดังนี้
1. ลักษณะผิวขาดน้ำในผู้ที่มีผิวมัน
ผิวมัน เป็นลักษณะผิวที่โดยทั่วไปร่างกายจะกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันออกมาเพื่อสร้างความชุ่มชื้นแก่ผิวจนเกิดเป็นน้ำมันส่วนเกินอยู่แล้ว เมื่อคนผิวมันมีปัญหาผิวขาดน้ำร่วมด้วยก็จะยิ่งทำให้ร่างกายผลิตน้ำมันออกมามากกว่าเดิม ลักษณะผิวขาดน้ำในผู้ที่มีผิวมันจึงมีลักษณะเป็นผิวหน้ามันเยิ้ม แต่ยังคงมีความแห้งกร้านจากการขาดน้ำอยู่
2. ลักษณะผิวขาดน้ำในผู้ที่มีผิวแห้ง
ผิวแห้ง เป็นลักษณะผิวที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมาได้น้อยกว่าปกติ เมื่อเกิดปัญหาผิวขาดน้ำร่วมด้วยจึงทำให้ผิวที่แห้งอยู่แล้วทวีความรุนแรงขึ้นไปอีกจนอาจทำให้ผิวแตกลาย ลอกตัวเป็นขุย มีความระคายเคือง และเกิดการอักเสบขึ้นได้
3. ลักษณะผิวขาดน้ำในผู้ที่มีผิวผสม
ผิวผสม คือ ลักษณะของผิวที่มีการผสมกันระหว่างผิวแห้งกับผิวมัน ซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีผิวมันที่บริเวณ T-zone และมีผิวแห้งบริเวณหน้าแก้ม
ดังนั้นเมื่อคนที่มีผิวลักษณะผิวผสมและเกิดภาวะขาดน้ำก็จะทำให้บริเวณที่มีผิวมัน เกิดความมันมากขึ้น ในขณะที่บริเวณที่มีผิวแห้งก็จะแห้งมากขึ้นจนเริ่มลอกเป็นขุย
ผิวขาดน้ำกับผิวแห้งแตกต่างกันอย่างไร?
หากพูดถึงผิวขาดน้ำ หลายๆ คนอาจเข้าใจว่าเป็นปัญหาเดียวกันกับผิวแห้ง แต่แท้จริงแล้วปัญหาผิวขาดน้ำและผิวแห้งเกิดจากสาเหตุที่แตกต่างกันแต่สามารถเกิดร่วมกันได้
โดยผิวแห้ง เป็นหนึ่งในลักษณะสภาพผิวที่มีสาเหตุมาจากการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมาได้น้อยกว่าปกติจนผิวเสียสมดุลความชุ่มชื้น
ในขณะที่ผิวขาดน้ำ เป็นปัญหาผิวที่สามารถเกิดได้ในทุกสภาพผิว เกิดขึ้นแค่ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง และเกิดจากการที่บริเวณใต้ผิวมีน้ำหรือความชุ่มชื้นไปหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายผลิตน้ำมันออกมาเพื่อทดแทนน้ำที่เสียไป
ซึ่งลักษณะอาการผิวขาดน้ำจะมีความแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคนตามที่ได้อธิบายไปในหัวข้อก่อนหน้า แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้มีปัญหาผิวขาดน้ำจะต้องเผชิญเหมือนกันก็คือการมีผิวที่ดูอ่อนล้าและดูไม่สดใสนั่นเอง
ผิวขาดน้ำส่งผลกระทบอะไรบ้าง?
ปัญหาผิวขาดน้ำ นอกจากจะทำให้ใบหน้าดูโทรม อ่อนล้า และดูไม่สดใสแล้ว ปัญหานี้ยังส่งผลกระทบอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น
- รูขุมขนกว้าง ผู้ที่มีปัญหาหน้ามันมักจะมีปัญหานี้เข้ามาร่วมด้วยเสมอ เนื่องจากรูขุมขนต้องขยายตัวเพิ่มขึ้นเพื่อขับน้ำมันส่วนเกินออกมา ซึ่งการมีรูขุมขนกว้างยังนำไปสู่การเกิดปัญหาสิวได้อีกด้วย
- สิวอุดตัน เป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่เกิดจากการมีน้ำมันส่วนเกินไปจับตัวกับสิ่งตกค้างและเซลล์ผิวหนังกำพร้าเดิมจนรูขุมขนเกิดการอุดตันขึ้น เมื่อของเสียไม่สามารถระบายออกทางรูขุมขนได้ จึงก่อตัวเป็นก้อนและกลายเป็นสิวอุดตันในที่สุด
- ริ้วรอยและผิวไม่กระชับ เป็นปัญหาผิวที่มาพร้อมกับผิวที่แห้งกร้าน เพราะเมื่อผิวขาดความชุ่มชื้น คอลลาเจนและอีลาสตินที่เคยพยุงให้ผิวมีความเต่งตึงก็จะค่อยๆ สลายตัว ทำให้เกิดริ้วรอยเล็กๆ พร้อมกับผิวที่หย่อนคล้อยทั่วบริเวณใบหน้า
- ผิวหมองคล้ำ เป็นปัญหาผิวที่เกิดจากการมีสภาพผิวที่แปรปรวน ส่งผลให้การผลัดเซลล์ผิวที่ควรเกิดขึ้นตามธรรมชาติในทุกๆ 28 วัน ทำงานผิดปกติ เซลล์ผิวที่ตายแล้วจึงเกิดการทับถมกันจนผิวดูหมองคล้ำ
- ผิวแพ้ง่าย การที่ผิวขาดความชุ่มชื้นจะทำให้เกราะป้องกันผิวไม่แข็งแรง เวลาที่ผิวถูกกระตุ้นด้วยสารเคมีในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพียงเล็กน้อยจึงเกิดการระคายเคืองได้ง่าย
วิธีป้องกันและดูแลรักษาไม่ให้เกิดปัญหาผิวขาดน้ำ
วิธีป้องกันและดูแลรักษาปัญหาผิวขาดน้ำที่ดีที่สุด คือ การเข้าพบแพทย์ผิวหนังเพื่อให้แพทย์ประเมินถึงสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดปัญหาผิวขาดน้ำ เช่น การแพ้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ปัญหาสุขภาพ หรือตัวยาที่ใช้ในการรักษาโรค
การทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงจะช่วยให้เราสามารถหลีกเลี่ยงจากตัวกระตุ้นและรักษาปัญหาผิวขาดน้ำได้อย่างตรงจุด แต่ส่วนมากในการรักษาเบื้องต้น แพทย์มักจะแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองก่อน ดังนี้
- ดื่มน้ำอย่างน้อย 1.5 ลิตรต่อวัน การดื่มน้ำอย่างเพียงพอจะช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ รวมถึงช่วยชดเชยปริมาณเหงื่อที่เสียไปในแต่ละวันด้วย
- ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดหนึ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและกักเก็บน้ำให้กับผิว ทำให้ผิวอยู่ในภาวะที่สมดุล
- ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่อ่อนโยน อย่างคลีนซิ่งหรือเจลล้างหน้าที่สามารถชำระล้างความมันได้อย่างหมดจด โดยอาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) เพราะสามารถช่วยลดการระเหยของน้ำและกระตุ้นการสร้างน้ำมันในผิวได้
- หลีกเลี่ยงการผลัดเซลล์ผิวที่บ่อยเกินไป การผลัดเซลล์ผิวรวมถึงการสครับผิวหน้าถือเป็นเรื่องที่ดี แต่หากทำบ่อยเกินไปหรือรุนแรงเกินไปอาจทำให้ผิวระคายเคืองและเสียความชุ่มชื้นได้ง่ายขึ้น
- อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เนื่องจากการอยู่ในห้องที่มีอากาศร้อนเกินไป รวมถึงห้องที่มีการใช้เครื่องปรับอากาศเป็นเวลานานๆ อาจเร่งให้ผิวสูญเสียน้ำโดยที่ไม่จำเป็น
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักและผลไม้ที่มีวิตามินอีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง เพราะสารอาหารเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงขึ้นได้
ปัญหาผิวขาดน้ำเป็นปัญหาที่สามารถป้องกันและดูแลได้ไม่ยาก การดูแลปัญหาผิวขาดน้ำตั้งแต่เนิ่นๆ นอกจากจะช่วยให้ผิวกลับมาอิ่มฟู เปล่งปลั่งได้ไวแล้ว ยังเป็นการป้องกันปัญหาผิวอื่นๆ ที่อาจตามมาได้อีกด้วย
วิธีดูแลรักษาปัญหาผิวขาดน้ำแบบเร่งด่วน
ถึงแม้ว่าการดูแลรักษาปัญหาผิวขาดน้ำด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองจะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาชุ่มชื้นและแข็งแรงขึ้นได้ แต่ถ้าหากต้องการให้เห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็วก็ควรจะต้องพึ่งตัวช่วยพิเศษอย่างการทำหัตถการ โดยหัตถการที่ Better Me Clinic แนะนำมีดังนี้
1. ทรีตเมนต์ผิว
ทรีตเมนต์ผิว คือ การเติมสารอาหารให้กับผิวหน้าโดยตรงผ่านเทคนิคต่างๆ ซึ่งการทำหัตถการแต่ละครั้งสามารถเลือกดูแลปัญหาผิวด้านเดียวหรือหลายๆ ด้านพร้อมกันได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิว ความต้องการ และการประเมินของแพทย์ในแต่ละบุคคล
สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวขาดน้ำและขาดความชุ่มชื้น Better Me Clinic ขอแนะนำโปรแกรม Aloe Vera Treatment ทรีตเมนต์ที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้เข้มข้น มีคุณสมบัติในการช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและปลอบประโลมผิว หลังทำช่วยให้ผิวหน้ากลับมาเนียนนุ่มและกระจ่างใสอีกครั้ง
2. เมโสหน้าใส
เมโสหน้าใส (Meso Therapy) คือ การใช้เข็มขนาดเล็กฉีดตัวยาที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากวิตามินและสารสำคัญต่างๆ เข้าไปที่ผิวหนังชั้นกลางเพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ช่วยให้ผิวกลับมาแข็งแรงและมีความยืดหยุ่นอีกครั้ง
ซึ่งในผู้ที่มีปัญหาผิวขาดน้ำ Better Me Clinic ขอแนะนำ เมโสชาแนล (Meso Chanel) หรือการฉีดเมโสด้วยตัวยาที่เป็นสารสกัดในกลุ่มไฮยาลูรอนิกแอซิดแบบโมเลกุลเดี่ยว ผสมผสานกับสารสกัดบำรุงผิวต่างๆ เข้าไปในผิวโดยไม่ทำให้เกิดการอุดตันที่เส้นเลือด
ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังช่วยยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวกระชับ เรียบเนียน และเต่งตึงมากขึ้นอีกด้วย
3. ฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์ เป็นสารเติมเต็มชนิดหนึ่งที่ประกอบไปด้วยส่วนประกอบสำคัญอย่างไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid : HA) ซึ่งมีส่วนช่วยให้ผิวชุ่มชื้น เต่งตึง ส่วนมากมักนำมาแก้ปัญหาริ้วรอยร่องลึก ปัญหาใต้ตา รวมถึงนำมาใช้ในการปรับรูปหน้าและแก้ปัญหารูปทรงปาก
แต่ในปัจจุบันมีการพัฒนาฟิลเลอร์ให้ตอบโจทย์กับปัญหาผิวมากขึ้น อย่างฟิลเลอร์ Belotero Revive ฟิลเลอร์งานผิวตัวแรกของโลก ที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิกและกลีเซอรอล (Glycerol) ต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไปที่มีเพียงกรดไฮยาลูโรนิกเป็นส่วนประกอบเท่านั้น
และด้วยคุณสมบัติของฟิลเลอร์ Belotero Revive ที่สามารถอุ้มน้ำได้ดี ทำให้หลังฉีดฟิลเลอร์จึงมีผิวที่กลับมาอิ่มน้ำจากภายในอีกครั้ง ผิวแลดูสุขภาพดี และดูอ่อนเยาว์ลง
รักษาผิวขาดน้ำที่ไหนดี?
จะเห็นได้ว่าการกู้ผิวที่ขาดความน้ำนั้นทำได้ไม่ยาก เพียงอาจจะต้องอาศัยระยะเวลาเพื่อให้ผิวค่อยๆ ซึมซับความชุ่มชื้น ร่วมกับการสังเกตตนเองเพื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาผิวขาดน้ำ
สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าจะรักษาผิวขาดน้ำที่ไหนดี? ให้ Better Me Clinic by Dr. Chanya เป็นหนึ่งในทางเลือก เพราะเรามีบริการเติมความชุ่มชื้นผิวให้เลือกอย่างหลากหลาย เครื่องมือทันสมัยได้มาตรฐาน และทุกบริการดูแลโดยแพทย์ผู้ชำนาญเท่านั้น
หากยังไม่มั่นใจว่าควรเลือกเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวด้วยวิธีใด สามารถติดต่อเข้ามาที่ Better Me Clinic by Dr. Chanya เพื่อให้คุณหมอประเมินสภาพผิวและแนะนำหัตถการที่เหมาะสมแบบเคสบายเคสได้เลย สามารถติดต่อนัดหมายได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-059-8118, 088-603-2641 หรือไลน์ @bettermeclinic ปรึกษาคุณหมอฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย!
- Bioderma, Dry and dehydrated skin: what is the difference?
- (https://www.bioderma.co.uk/your-skin/how-treat-atopic-dermatitis-skin/what-causes-dry-and-itchy-skin/dry-and-dehydrated-skin-what-difference), 8 February 2024.
- Medical News Today, What to know about dehydrated skin (https://www.medicalnewstoday.com/articles/dehydrated-skin), 8 February 2024.
- Better Me Clinic, เมโสชาแนล (Meso Chanel) สกินบูสเตอร์ผิวใส หน้าฉ่ำวาว
- (https://bettermeclinicofficial.com/aesthetic/what-is-meso-chanel/), 8 กุมภาพันธ์ 2567.
- Bioderma, ผิวขาดน้ำคือ? ต่างจากผิวแห้งอย่างไร? พร้อมแนะนำวิธีแก้ปัญหา
- (https://www.bioderma.co.th/your-skin/dehydrated-sensitive-skin/dehydrated-skin), 8 กุมภาพันธ์ 2567.
- Mesoestetic, ทำความรู้จักปัญหาผิวขาดน้ำเป็นยังไง ผิวเราเข้าข่ายไหม เช็คด่วน! (https://mesoestetic-th.com/get-to-know-the-problem-of-dehydrated-skin/), 8 กุมภาพันธ์ 2567.