ฉีดผิวขาวดีอย่างไร ฉีดแบบไหนถึงจะปลอดภัย ให้ผิวขาวใสเป็นออร่า
ทำความรู้จัก การฉีดผิวขาว คืออะไร
การฉีดวิตามินผิว ช่วยในเรื่องอะไรบ้าง
การฉีดวิตามินผิวช่วยให้ผิวแลดูกระจ่างใสขึ้น โดยวิตามินจะไปกระตุ้นกระบวนการผลัดเซลล์ผิว และเสริมสร้างกระบวนการผลิตคอลลาเจน จึงช่วยขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ ลดปัญหาผิวหมองคล้ำ ทำให้ผิวนุ่มลื่น เรียบเนียน มีความยืดหยุ่น ชุ่มชื้น และไม่แห้งกร้าน คืนความแข็งแรงให้ผิวสุขภาพดีจากภายใน อีกทั้งสารต้านอนุมูลอิสระในวิตามินยังช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด มลภาวะ และสัญญาณการร่วงโรยแห่งวัย ทำให้ผิวเปล่งปลั่ง ดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ
การฉีดวิตามินผิวมีกี่ประเภท อะไรบ้าง
1. การฉีดแบบใช้เข็มไซริงค์
2. การให้วิตามินผิวแบบน้ำเกลือ
การเติมวิตามินผิวผ่านน้ำเกลือ หรือที่หลายคนเรียกว่าการดริปวิตามิน จะมีการผสมวิตามินลงไปในน้ำเกลือในสัดส่วนที่เหมาะสม จากนั้นจะให้วิตามินผ่านทางสายน้ำเกลือเข้าสู่เส้นเลือดดำ วิตามินก็จะค่อยๆ ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายอย่างช้าๆ จึงต้องใช้เวลานานกว่าการฉีดผิวขาวด้วยไซริงค์ แต่ข้อดีคือความเร็วในการให้วิตามินคงที่ จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง และหากเกิดอาการแพ้ก็จะสามารถหยุดให้วิตามินได้ในทันที
เปรียบเทียบข้อดี และข้อเสียของการฉีดผิวขาว
ข้อดีของการฉีดผิวขาว
- การฉีดผิวขาวช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่มีบทบาทในการซ่อมแซม และฟื้นฟูผิว ช่วยให้โครงสร้างผิวแข็งแรง มีความกระชับ และยืดหยุ่นขึ้น
- ช่วยปรับสีผิวให้แลดูสว่าง กระจ่างใส ลดเลือนความหมองคล้ำจากแสงแดด และมลภาวะ
- ลดเลือนจุดด่างดำ ลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้สีผิวเรียบเนียน และสม่ำเสมอ
- เติมความชุ่มชื้นให้ผิวนุ่มเด้ง น่าสัมผัส
- เสริมความแข็งแรงให้เซลล์ผิว ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย ฝ้า กระ ผิวจึงดูอ่อนเยาว์ เปล่งปลั่ง มีออร่า
- ช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง สดชื่น บรรเทาอาการอ่อนล้า อ่อนเพลีย เหมาะสำหรับคนนอนดึก หรือพักผ่อนน้อย
- มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย บรรเทาอาการภูมิแพ้ และป้องกันโรคหวัด
ข้อเสียของการฉีดผิวขาว
การฉีดผิวขาว เหมาะกับใครบ้าง
ทุกคนสามารถฉีดผิวขาวได้ ไม่ว่าจะมีปัญหาผิวหรือไม่ เพราะโดยปกติร่างกายต้องการวิตามินอยู่แล้ว การฉีดวิตามินผิวจึงไม่ต่างจากการกินอาหารเสริม แค่เปลี่ยนมาให้ผ่านทางเส้นเลือดที่ดูดซึมไปใช้ได้ง่ายกว่า โดยเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหา ดังนี้
- ผู้ที่มีปัญหาผิว เช่น ผิวหมองคล้ำจากแสงแดด ผิวแห้งกร้าน และต้องการฟื้นฟูผิวอย่างเร่งด่วน
- ผู้ที่ได้รับวิตามินจากอาหารไม่เพียงพอ
- ผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ ทำงานหนัก และร่างกายอ่อนเพลีย
- ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่เป็นประจำ
ใครที่ไม่เหมาะกับการฉีดผิวขาว
การฉีดผิวขาวถือเป็นหัตถการที่มีความเสี่ยงน้อยมาก แต่ก็อาจจะไม่ได้ปลอดภัยสำหรับทุกคน สำหรับคนบางกลุ่มที่ควรงดการฉีดผิวขาว มีดังนี้
- สตรีมีครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร
- ผู้ที่มีประวัติแพ้วิตามิน
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคตับ หรือโรคไต
- ผู้ที่มีความผิดปกติของโลหิต เช่น ภาวะขาดเอนไซม์ G6PD ภาวะเหล็กเกิน (Hemochromatosis) และโรคธาลัสซีเมีย เพราะวิตามินซีจะส่งผลให้การดูดซึมธาตุเหล็กเพิ่มขึ้น
การเตรียมตัวก่อนการฉีดผิวขาว
เพื่อให้การฉีดผิวขาวมีประสิทธิภาพ และได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ก่อนเข้ารับการฉีดผิวจึงควรมีการเตรียมตัว ดังนี้
- เลือกโรงพยาบาล หรือคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ และมีแพทย์ที่ชำนาญการคอยดูแล
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- หากมีโรคประจำตัว หรือมีประวัติแพ้ยา ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบทุกครั้ง
ขั้นตอนการฉีดผิวขาว มีอะไรบ้าง
การฉีดผิวขาวไม่ยุ่งยาก และใช้เวลาไม่นาน โดยมีขั้นตอนในการเข้ารับบริการ ดังนี้
- ปรึกษาแพทย์ หากมีโรคประจำตัว มีประวัติแพ้ยา หรือมียาที่ต้องกินประจำ ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อน
- แพทย์จะให้คำแนะนำ และช่วยเลือกสูตรวิตามินที่เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละคน
- ให้วิตามินโดยสอดเข็มน้ำเกลือเข้าไปในหลอดเลือดดำบริเวณข้อพับแขน หรือหลังฝ่ามือ และปล่อยให้วิตามินผ่านเข้าสู่ร่างกาย
- ปรับอัตราความเร็วให้เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลข้างเคียง โดยเฉลี่ยจะใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที โดยระหว่างนี้สามารถนั่งทำกิจกรรมได้ตามอัธยาศัยเลย
- เมื่อให้วิตามินจนหมดถุง แพทย์จะนำเข็มออก ให้กดสำลีบริเวณนั้นทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที และสามารถกลับบ้านได้เลย
การดูแลตัวเองหลังการฉีดผิวขาว
นอกจากการเตรียมตัวที่ดีแล้ว ก็ควรดูแลตัวเองหลังฉีดผิวขาวด้วย เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดี และอยู่ได้นานยิ่งขึ้น ดังนี้
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ
- บำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เพื่อรักษาความชุ่มชื้น
- รอยเข็ม หรือรอยแผลจะหายได้เอง แต่ถ้าหากมีรอยช้ำ สามารถใช้การประคบเย็นช่วยได้
- หลีกเลี่ยงการถู นวด หรือเกาบริเวณจุดที่ฉีด
- หลีกเลี่ยงการออกแดด หรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง หากจำเป็นต้องออกไปข้างนอกควรทาครีมกันแดด หรือสวมเสื้อผ้าให้มิดชิด
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ เพราะจะไปทำลายวิตามิน หรือสารต้านอนุมูลอิสระ
- หากมีอาการบวมแดงบริเวณที่ฉีดนานกว่า 2 วัน ควรปรึกษาแพทย์
การฉีดผิวขาวกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
ฉีดผิวขาวกี่ครั้งถึงจะเห็นผลก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาพผิว และเฉดสีผิวเดิมของแต่ละคน หากเป็นคนผิวเข้มโดยธรรมชาติ จะไม่สามารถเปลี่ยนสีผิวให้ขาวอมชมพูได้ แต่ผิวจะดูกระจ่างใส และเรียบเนียนขึ้น นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับสูตรของวิตามิน คุณภาพของวิตามิน ความสม่ำเสมอในการฉีด รวมถึงการดูแลตัวเองด้วย โดยทั่วไปแล้วหากมีการฉีดผิวขาวเป็นประจำทุกสัปดาห์ จะเริ่มเห็นผลประมาณสัปดาห์ที่ 3 เป็นต้นไป หลังจากนั้นสามารถเว้นระยะห่างเป็นเดือนละ 1 ครั้งได้ แต่ควรมีการดูแลผิวควบคู่กันไปด้วย เช่น ทาครีมบำรุง ทาครีมกันแดด หลีกเลี่ยงการตากแดดนานๆ เพื่อให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น
การฉีดผิวขาวถือว่าอันตรายไหม?
ฉีดผิวขาวกับ Better Me Clinic ดีกว่าอย่างไร
- คุณหมอมีประสบการณ์ด้านความงามมายาวนาน 8 ปี และทำมามากกว่า 10,000 เคส
- คุณหมอเป็นอาจารย์สอนหลักสูตรการอบรมด้านเวชศาสตร์ความงามจากองค์กร ABAM จากอเมริกา คนเดียวในไทย
- เจ็บน้อย บวมช้ำน้อย คุณหมอทุกท่านให้ความสำคัญกับคนไข้ทุกเคส
- คลินิกเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐาน พร้อมนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่ทันสมัย
- Better Me Club มีการบริการด้วยหัวใจหลังศัลยกรรม หรือทำหัตถการ ด้วยบริการให้คำแนะนำโดยแอดมินสายตรง พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ
- เป็นตัวเองในแบบที่ดีที่สุด เพิ่มความมั่นใจและสวยที่สุดในราคาที่จับต้องได้
รีวิวการฉีดผิวขาว
สรุป
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดผิวขาว
การฉีดวิตามินผิวช่วยเรื่องภูมิคุ้มกันได้ไหม?
การฉีดผิวขาวมีผลข้างเคียงไหม?
การฉีดวิตามินผิวเจ็บไหม?
ฉีดวิตามินผิวได้ตั้งแต่อายุเท่าไร?
การฉีดวิตามินผิวราคาเท่าไร?
- สูตร Glowy Drip ราคาเต็มอยู่ที่ 2,999 บาท และราคารีวิว 1,999 บาท
- สูตร Sexy White Drip ราคาเต็มอยู่ที่ 3,999 บาท และราคารีวิว 2,999 บาท
- สูตร Super Aura Drip ราคาเต็มอยู่ที่ 4,999 บาท และราคารีวิว 3,999 บาท
- สูตร Extreme Aura Drip ราคาเต็มอยู่ที่ 5,999 บาท และราคารีวิว 4,999 บาท