4 สูตร Peeling ผลัดเซลล์ผิว ลดสิวด้วยกรดผลไม้จากธรรมชาติ
โดยปกติแล้วผู้ที่อยู่ในวัย 20 มักมีการผลัดเซลล์ผิวอยู่ทุกๆ 3 สัปดาห์ แต่เมื่ออายุมากขึ้นเรื่อยๆ การผลัดเซลล์ผิวก็จะช้าลง จากทุกๆ 3 สัปดาห์ จะเป็นทุกๆ 4 สัปดาห์ 5 สัปดาห์ หรือมากกว่านั้น จนอายุเข้าสู่เลข 70 ร่างกายจะใช้เวลานานถึง 7 สัปดาห์ในการผลัดเซลล์ผิวเลยทีเดียว ดังนั้นการทำ Peeling ผลัดเซลล์ผิวหน้าจึงเป็นอีกวิธีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะช่วยรักษาที่ผิวหน้าโดยตรง ลดปัญหาริ้วรอย ปัญหาสิว หรือรูขุมขนกว้างได้อย่างเห็นผล แต่ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกทำ Peeling ผลัดเซลล์ผิว ชัญญา คลินิกจะพาทุกคนไปทำความเข้าใจในเรื่องของการผลัดเซลล์ผิวหน้าให้ละเอียด รู้ลึก รู้จริง พร้อมทั้งแนะนำ 4 สูตร Peeling ผลัดเซลล์ผิว สูตรพิเศษจากทางชัญญา คลินิกด้วยค่ะ
Peeling คืออะไร
ก่อนอื่นเราจะไปทำความรู้จักกันก่อนว่า “การผลัดเซลล์ผิว” หรือPeeling คืออะไร? และควรลอกหน้าผลัดเซลล์ผิวดีไหม? สำหรับการผลัดเซลล์ผิว คือ การเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว ให้หลุดลอกออกไปจากผิวด้วยความรวดเร็ว เพราะหากเซลล์ผิวเก่ายังไม่หลุดออกไป เซลล์จะจับตัวกันเป็นก้อน ทำให้ปิดกั้นเซลล์ผิวใหม่ที่จะขึ้นมาแทน ส่งผลให้ใบหน้าของเราหมองคล้ำมากกว่าเดิม ปัจจุบันมีวิธีผลัดเซลล์ผิวหน้าทั้งหมด 2 วิธี ได้แก่ Physical Peeling หรือการผลัดเซลล์ผิวโดยใช้อุปกรณ์ช่วย และ Chemical Peeling หรือการผลัดผิวโดยการใช้สารเคมี โดยแต่ละวิธีนั้นมีรายละเอียดต่างกันออกไป ดังนี้
แบบอุปกรณ์ช่วย (Physical Peeling)
การผลัดเซลล์ผิวโดยใช้อุปกรณ์ช่วย (Physical Peeling) คือ การผลัดเซลล์ผิวโดยใช้อุปกรณ์ช่วย ส่วนใหญ่จะอยู่ในหมวดศัลยกรรมตกแต่งเพื่อความงาม เช่น การทำ Dermabrasion และ Microdermabrasion โดยแต่ละแบบมีรายละเอียด ดังนี้
- การทำ Dermabrasion เป็นการผลัดเซลล์ผิวเชิงลึก เรียกได้ว่าเป็นการผลัดเซลล์ผิวถึงขั้นหนังแท้ (Dermis) จึงช่วยลดรอยสิว หลุมสิวได้อย่างเห็นผล สำหรับใครที่อยากผลัดเซลล์ผิวด้วยวิธีนี้ควรเลือกทำกับแพทย์ที่มีความชำนาญ หรือมีประสบการณ์สูง เนื่องจากมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงจากแผลสูงมาก
- การทำ Microdermabrasion เป็นการกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี วิธีนี้จะมีความปลอดภัยมากกว่าวิธีแรก แต่จะเป็นการลดริ้วรอยเล็กๆ อย่างรอยสิวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เปรียบเสมือนการขัดตัวเพื่อให้ผิวขาว ดูเรียบเนียนขึ้นมาเล็กน้อย
แบบเคมี (Chemical Peeling)
การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peeling) คือ การนำสารเคมีมาช่วยเร่งการผลัดเซลล์ ทำให้เซลล์ผิวหนังเก่าหลุดลอกออกไปได้ง่ายขึ้น การใช้สารเคมีนั้นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด อีกทั้งยังเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย และเห็นผลค่อนข้างชัดเจน โดยสารเคมีที่ใช้ในการผลัดเซลล์ผิวก็จะแตกต่างออกไปตามแต่ละคลินิก แต่มักใช้สารเคมีหลักๆ ดังนี้
- AHA (Alpha Hydroxy Acid) เป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่มีฤทธิ์เป็นกรด ซึ่งมีส่วนช่วยให้แรงยึดเหนี่ยวระหว่างเซลล์ชั้นบนสุดลดน้อยลง ช่วยกระตุ้นให้เซลล์ผิวใหม่เข้ามาแทนที่ อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อบริเวณหนังแท้ได้อีกด้วย
- BHA (Beta Hydroxy Acid) เป็นกรดที่ได้จากการสังเคราะห์ มีคุณสมบัติทนต่อความร้อน ไม่เสื่อมสภาพง่ายเหมือนสาร AHA ซึ่งตัว BHA จะช่วยให้เซลล์ผิวหนังหลุดลอกได้ไวกว่า แต่ก็จะทำให้เสี่ยงต่อการแพ้ และระคายเคืองมากกว่า
- TCA (Trichloroacetic Acid) กรดชนิดนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในการผลัดเซลล์ผิวหน้า เนื่องจากเห็นผลดีกับการรักษาสิว ริ้วรอย ฝ้าและกระ ซึ่งผลลัพธ์ของกรดตัวนี้จะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของกรดที่ใช้ด้วย
ระดับของการผลัดเซลล์ผิว หรือทำ Peeling มีขั้นไหนบ้าง
หลังจากที่ได้รู้จักวิธีการผลัดเซลล์ผิวไปแล้ว ต่อไปเราจะไปดูระดับความลึกของเซลล์ผิวกันดีกว่าว่าสามารถผลัดเซลล์ผิวออกได้กี่ระดับ ซึ่งโดยทั่วไปนั้นในระดับแรกก็จะเริ่มที่ระดับนอกสุด จนถึงลึกที่สุด โดยการผลัดเซลล์ผิวหน้านั้นสามารถลงลึกถึงผิวหนังได้ถึง 4 ระดับ ได้แก่
- Very superficial Peeling เป็นการผลัดเซลล์ผิวระดับแรกสุด โดยลอกผิวหนังชั้นนอกของชั้นหนังกำพร้า ซึ่งวิธีนี้เหมาะกับการรักษาปัญหาสิวเบื้องต้น อีกทั้งยังช่วยกำจัดน้ำมันส่วนเกินที่ผิวหนังอีกด้วย
- Superficial Peeling เป็นการผลัดเซลล์ผิวที่ลึกขึ้นกว่าระดับแรก อาจลอกไปถึงผิวหนังกำพร้าบางส่วน เหมาะสำหรับการรักษาปัญหาผิวหน้าที่เป็นหนักกว่าวิธีแรก
- Medium Peeling เป็นการผลัดเซลล์ผิวระดับกลาง โดยทำการผลัดเซลล์ผิวหน้าตั้งแต่ชั้นนอกจนถึงชั้นหนังกำพร้าบางส่วน ซึ่งความลึกของผิวหนังระดับนี้จะช่วยให้ริ้วรอย หรือรอยขี้แมลงวันจางลงอย่างเห็นได้ชัด
- Deep Peeling เป็นการผลัดเซลล์ผิวระดับลึก ซึ่งเป็นการผลัดเซลล์แบบลงลึกถึง Reticular Dermis โดยวิธีนี้เหมาะสำหรับการรักษาผู้ที่มีปัญหาผิวหนัง โดยผิวหนังถูกแสง UV มากเกินไป หรือมีริ้วรอยระดับลึกมาก จนทำให้ผิวเสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร
การทำ Peeling ดียังไงช่วยอะไรบ้าง
- การทำ Peeling ผลัดเซลล์ผิว ถือเป็นวิธีการผลัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ให้หลุดลอกออกไปได้ไวขึ้น
- ช่วยทำให้เซลล์ผิวใหม่ได้เจริญเติบโต
- ช่วยลดปัญหาสิว หรือริ้วรอยได้
- เป็นตัวช่วยในการเร่งหน้าใส
- แก้ปัญหารูขุมขนกว้างได้อย่างเห็นผล
การทำ Peeling เหมาะกับใครบ้าง
สำหรับการทำ Peeling นั้นเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาดังต่อไปนี้
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหนัง เช่น ปัญหาสิว ฝ้า กระ และริ้วรอย
- ผู้ที่มีจุดรอยขี้แมลงวัน ก็สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้
การทำ Peeling ไม่เหมาะกับผิวแบบไหนบ้าง
การทำผลัดเซลล์ผิวนั้นไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวดังต่อไปนี้
- ผู้ที่มีผิวหนังแพ้ง่าย เพราะอาจเกิดการระคายเคืองได้
- ผู้ที่ชอบแกะ เกา หรือดึงหนังรอบใบหน้า ควรระมัดระวัง อย่าเผลอแกะออกเอง เนื่องจากวิธีนี้ ผิวหนังจะค่อยๆ หลุดลอกต่อเนื่องตามธรรมชาติ
Peeling vs Scrub ต่างกันอย่างไร?
การผลัดเซลล์ผิวหน้าแตกต่างกับ Scrub สครับยังไง? มาลองดูสรุปชัดๆ กันเลย!
- สครับ (Scrub) คือ การขัดถูให้เซลล์ผิวหนังชั้นนอกที่เสื่อมสภาพให้หลุดออกไป
- สครับจะมีเนื้อหยาบกว่า มักรู้สึกเหมือนมีเม็ดๆ มาถูบริเวณผิวหนัง
- สครับไม่เหมาะกับผู้ที่มีสิว หรือผู้ที่ผิวบอบบาง
- การผลัดเซลล์ผิวหน้า (Peeling) คือ การผลัดเซลล์ผิวหนังชั้นนอกที่เสื่อมสภาพให้หลุดออกไป แต่จะเป็นการใช้เนื้อเจล มาถูเบาๆ ทั่วหน้า
- การผลัดเซลล์ผิวหน้ามีโอกาสการระคายเคืองน้อยกว่าแบบสครับ
เทคนิคการทำ Peeling จาก Better Me Clinic by Dr.Chanya
สำหรับการผลัดเซลล์ผิวหน้ากับทางชัญญาคลินิกมีคอร์สผลัดเซลล์ผิวสูตรพิเศษ Magic Peeling ซึ่งเป็นการใช้กรดผลไม้สูตรพิเศษในการผลัดเซลล์ผิวหนังชั้นกำพร้าที่ไม่แข็งแรง ให้หลุดลอกออกไป และกระตุ้นให้เซลล์ใหม่ที่แข็งแรงมาแทนที่ โดยมีทั้งหมด 4 สูตร โดยแต่ละสูตรนั้นผ่านการปรับปรุงพัฒนาให้เหมาะสมกับแต่ละสภาพผิว ได้แก่
- Baby Peeling สำหรับผู้ที่ต้องการหน้าเด็ก เน้นผิวขาว เนื้อละเอียด ดูอ่อนโยน
- Acne Peeling สำหรับผู้ที่มีปัญหาสิว ไม่ว่าจะเป็นสิวอักเสบ สิวอุดตัน สิวผด ฯลฯ ซึ่ง สูตร Acne Peeling สามารถช่วยลดอาการสิวอักเสบ ฆ่าเชื้อสิว และยังทำให้สิวแห้งไวยิ่งขึ้น
- Scar Peeling สำหรับผู้ที่มีปัญหารอยแดง รอยดำ แผลเป็นจากสิว สูตร Scar Peeling ช่วยให้รอยเหล่านี้จางไวขึ้น และยังช่วยลดรอยแตกลายบริเวณตามร่างกาย หรือรอยแผลเป็นได้อีกด้วย
- Poreless Peeling สำหรับผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง เห็นริ้วรอยร่องตื้นต่างๆ ช่วยเน้นกระชับรูขุมขน ลดความมันของผิวหน้า หรือบริเวณลำตัว อีกทั้งยังช่วยลดโอกาสการเกิดสิวได้ดี
สิ่งควรรู้และข้อปฏิบัติก่อนผลัดเซลล์ผิวหน้า
ลอกหน้าผลัดเซลล์ผิวดีไหม? และจำเป็นต้องรู้อะไรก่อนทำบ้าง? ทางชัญญาคลินิกได้รวบรวมวิธีการเตรียมตัวก่อนผลัดเซลล์ผิวหน้าไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ดังนี้
- ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจผลัดเซลล์ผิว เนื่องจากการประเมินด้วยสายตาตนเองนั้นเป็นการพิจารณาด้วยตนเองเบื้องต้น ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ
- ตรวจสภาพผิวหนังก่อนเริ่มทำ เพื่อที่จะได้รู้ว่าตนเองควรผลัดเซลล์ผิวถึงระดับใด
- ควรงดการมาสก์หน้าอย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนทำการผลัดเซลล์ผิว
ข้อควรระวังและผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นหลังผลัดเซลล์ผิวหน้า
หลังจากผลัดเซลล์ผิวหน้าแล้ว มีข้อควรระวัง หรือผลข้างเคียงอย่างไรบ้าง ดังนี้
- ไม่ควรผลัดเซลล์ผิวหน้าบ่อยเกินไป ควรทิ้งระยะเวลาตามที่แพทย์แนะนำ
- ไม่ควรผลัดเซลล์ผิวหน้าด้วยตนเอง และควรทำการรักษาอย่างต่อเนื่องกับแพทย์ผู้ดูแล
- หากทำการผลัดเซลล์ผิวที่ระดับลึกมาก อาจมีอาการผิวตกสะเก็ด หรือมีอาการบวมแดง เป็นระยะเวลานาน
- การผลัดเซลล์ผิวอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา หรือไวรัส
การดูแลหลังผลัดเซลล์ผิวหน้า
วิธีการดูแลตัวเองหลังจากการผลัดเซลล์ผิวหน้า มีดังนี้
- ล้างหน้าได้ตามปกติ สามารถล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้า หรือสบู่อ่อนๆ
- หลีกเลี่ยงการออกแดด เพราะผิวหนังที่เพิ่งลอกออก จะมีความบางกว่าปกติ หากเจอแสงแดดมากๆ อาจเกิดภาวะผิวไหม้ได้
คำถามที่พบบ่อย
เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำ Peeling ผลัดเซลล์ผิวหน้า ดังนั้น ทางชัญญาคลินิกได้รวมคำถามที่พบบ่อยมาตอบแบบจบ ครบ ไว้ที่นี่เรียบร้อยแล้ว ดังนี้