เหนียงเกิดจากอะไร? รวม 7 วิธีลดเหนียง แบบเห็นผลได้ดี
เหนียงหรือคางสองชั้น ถือเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศและทุกวัย แม้ในทางการแพทย์ทั่วไป เหนียงจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ แต่การมีเหนียงอาจทำให้หลายๆ คนเกิดความไม่มั่นใจได้ เช่น ไม่กล้าก้มหน้าเพราะกลัวเหนียงออก หรือไม่กล้าถ่ายรูปเพราะรู้สึกว่าใบหน้าดูใหญ่และขาดมิติ
สำหรับใครที่กำลังกังวลกับการมีเหนียง บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักว่า เหนียงเกิดจากอะไร และมีวิธีลดเหนียงอย่างไรบ้าง
ชวนรู้จัก เหนียงคืออะไร
เหนียงหรือคางสองชั้น (Double Chin) คือ ส่วนไขมันใต้ชั้นผิวหนังที่ร่างกายเก็บสะสมไว้บริเวณใต้คาง ทำให้ดูเหมือนคางมีสองชั้น มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อที่ย้อยลงมา จับแล้วจะรู้สึกนิ่ม สามารถพบได้ในหลายคน ไม่ว่าจะเป็น ผู้ชาย ผู้หญิง คนที่อายุยังน้อย หรือกลุ่มที่มีอายุมากแล้ว
สาเหตุที่ทำให้เกิดเหนียง
อย่างที่ได้กล่าวไปว่าปัญหาเหนียงสามารถพบได้ในเกือบทุกคน เพราะเหนียงเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน การรู้ถึงสาเหตุจะช่วยให้สามารถเลือกวิธีลดเหนียงที่เหมาะสมได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดเหนียง มีดังนี้
- น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ถือเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเหนียง เพราะเมื่อน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นจากการที่มีไขมันเพิ่มขึ้น ไขมันก็จะเกิดการสะสมในส่วนต่างๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง และรวมถึงบริเวณใต้คาง ทำให้เห็นเป็นเหนียงนั่นเอง
- อายุที่เพิ่มขึ้น คอลลาเจนและอิลาสตินภายในผิวหนัง ที่ทำหน้าที่เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับเนื้อเยื่อและช่วยให้ผิวหนังดูเต่งตึง สุขภาพดี เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นจะอ่อนแอและมีปริมาณลดน้อยลง จนทำให้ผิวหย่อนคล้อย เกิดเป็นคางชั้นที่สองได้
- โครงสร้างร่างกาย สำหรับผู้ที่มีโครงสร้างของคางที่มีขนาดเล็กเป็นทุนเดิม เมื่อผิวหนังหย่อนคล้อยหรือมีไขมันสะสมที่บริเวณใต้คาง จะทำให้สามารถมองเห็นเป็นชั้นเหนียงได้ชัดกว่าคนทั่วไป
- พันธุกรรม แม้ว่าบางคนจะมีรูปร่างที่สมส่วนและสุขภาพแข็งแรงดี แต่อาจมีคางสองชั้นได้เช่นกัน เพราะเหนียงสามารถเกิดได้จากปัจจัยทางพันธุกรรม
- พฤติกรรม พฤติกรรมที่ทำให้ต้องกดหน้าลงเป็นระยะเวลานานๆ ติดต่อกัน เช่น การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์หรือการนอนเล่นมือถือ จะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคอและคางอ่อนแอลง ก่อให้เกิดรอยพับบริเวณใต้คาง มองเห็นเป็นเหนียงได้เช่นกัน
แม้เหนียงจะดูไม่เป็นอันตรายแต่สามารถส่งผลให้หลายๆ คนขาดความมั่นใจได้ เช่น กังวลว่าใบหน้าจะดูใหญ่หรือกังวลว่าจะถ่ายรูปไม่สวย โดยวิธีลดเหนียงสามารถทำได้ทั้งการปรับพฤติกรรมของตัวเอง หรือการทำหัตถการทางการแพทย์ ในกรณีที่การออกกำลังกายและควบคุมอาหารไม่ได้ผลตามที่หวัง ซึ่งการลดเหนียงสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
1. การออกกำลังกาย และทำท่าโยคะ
เนื่องจากเหนียงสามารถเกิดได้จากน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นหรือปัญหากล้ามเนื้อบริเวณคางและคออ่อนแอลง การออกกำลังกายและการทำท่าโยคะต่างๆ นอกจากจะช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกิน ทำให้มีรูปร่างที่สมส่วนแล้ว ยังสามารถช่วยบริหารและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อบริเวณต่างๆ เช่น บริเวณคอและคางได้อีกด้วย สำหรับท่าที่นิยมใช้ออกกำลังกายเพื่อลดเหนียง มีดังนี้
- ท่าจูบอากาศ: เป็นท่าบริหารกล้ามเนื้อคอและใต้คาง สามารถทำได้โดยเริ่มเงยหน้าขึ้นมองไปบนเพดาน ทำปากยื่นคล้ายกับจะพยายามจูบอากาศ โดยควรยื่นปากออกไปให้ได้มากที่สุดและเกร็งกล้ามเนื้อค้างไว้ 5 วินาที ก่อนจะกลับมาท่าปกติ ทำติดต่อกัน 15 ครั้ง
- ท่าแลบลิ้น: เป็นท่าบริหารกล้ามเนื้อบริเวณคอ เริ่มจากการหันหน้าตรงและอ้าปากให้กว้างที่สุด ก่อนจะแลบลิ้นออกมาให้ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ พยายามดันลิ้นลงไปเพื่อแตะบริเวณคาง โดยทำค้างไว้ 5 วินาที แล้วกลับสู่ท่าปกติ ทำติดต่อกัน 15 ครั้ง
- ท่าดันกราม: เป็นท่าที่คล้ายกับท่าจูบอากาศ แต่จะเปลี่ยนเป็นการดันกรามขึ้นไปด้านบนแทน โดยเริ่มจากการเงยหน้าขึ้นและมองเพดาน พยายามดันบริเวณกรามและคางขึ้นไปด้านหน้า จนรู้สึกว่ากล้ามเนื้อตึงและเกร็ง ค้างไว้ประมาณ 10 วินาที กลับสู่ท่าเดิม ทำติดต่อกัน 10 ครั้ง
2. การควบคุมอาหาร
การควบคุมอาหาร ถือเป็นเป็นอีกวิธีที่หลายๆ คนนิยมทำคู่กับการออกกำลังกาย เพื่อควบคุมน้ำหนักและลดไขมันส่วนเกิน ซึ่งจะช่วยในการลดชั้นเหนียงบริเวณใต้คางได้ นอกจากการบริโภคอาหารให้ได้ปริมาณที่พอเหมาะและไม่มากเกินไปในแต่ละมื้อแล้ว ยังมีอาหารที่ควรรับประทานและควรหลีกเลี่ยง ดังนี้
- อาหารที่ควรรับประทาน ธัญพืชไม่ผ่านการขัดสี ผักและผลไม้ โปรตีนที่มีไขมันน้อย และอาหารที่มีไขมันดี
- อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง เนื้อสัตว์ติดมัน อาหารทอด อาหารที่มีน้ำตาลสูง ผลิตภัณฑ์จากแป้งขาว และผลิตภัณฑ์แปรรูป
3. การดูดไขมัน
การดูดไขมัน (Liposculpture) เป็นหนึ่งในวิธีทางการแพทย์ที่จะช่วยสลายไขมันส่วนเกินในร่างกาย เช่น เหนียงใต้คาง ต้นขา หรือหน้าท้อง สำหรับการดูดไขมันเหนียงหรือการดูดไขมันใต้คาง (Double Chin Liposuction) สามารถใช้ได้ทั้งเครื่องหรือมือ ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันและความถนัดของแพทย์ โดยแพทย์จะฉีดยาชาก่อน เพื่อลดความรู้สึกเจ็บปวดระหว่างทำ สำหรับการฉีดยาชาที่ Better Me Clinic by Dr.Chanya รับรองว่าคนไข้จะไม่รู้สึกเจ็บเลยค่ะ เพราะทางคลินิกมีเทคนิคพิเศษเป็นการบล็อกเส้นประสาท
โดยข้อดีของการดูดไขมันเหนียง คือ เป็นหัตถการที่ช่วยกำจัดเซลล์ไขมันเฉพาะจุดและไม่ทำลายเนื้อเยื่อบริเวณโดยรอบ แต่ข้อเสียคือไม่สามารถกำจัดผิวหนังส่วนเกินที่เกิดจากปัญหาความหย่อนคล้อยได้ อาจมีรอยฟกช้ำหรืออาการปวดที่บริเวณแผล
4. การฉีดเมโสแฟต
เมโสแฟตลดเหนียง คือ รูปแบบหนึ่งของเมโสเทอราปี (Mesotheraphy) ที่จะฉีดสารที่ช่วยสลายไขมันเข้าไปในบริเวณชั้นไขมันใต้คางโดยตรง ซึ่งจะทำหน้าที่ในการเปลี่ยนเซลล์ไขมันให้กลายเป็นพลังงานของร่างกายแทน จึงช่วยเพิ่มการเผาผลาญ ลดปริมาณไขมันที่สะสม สามารถขับออกไปได้ตามกลไกของร่างกาย
โดยข้อดีของวิธีลดเหนียงรูปแบบนี้ คือ เซลล์ไขมันจะลดลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด และจะเริ่มเห็นผลชัดเจนใน 5-7 วัน แต่เป็นวิธีที่ไม่เหมาะกับคนที่ตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือคนไข้ที่มีโรคประจำตัวอื่นๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
5. การทำไฮฟู่
HIFU หรือ High Intensity Focused Ultrasound คือ หัตถการที่จะยิงคลื่นเสียงอัลตราซาวนด์เข้าไปใต้ชั้นผิวหนังในระดับลึก ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดตัวและผิวดูกระชับมากขึ้น โดยการทำไฮฟู่เพื่อลดเหนียง จะเหมาะกับปัญหาเหนียงที่เกิดจากการหย่อนคล้อยของผิว
ข้อดีของวิธีลดเหนียงรูปแบบนี้ คือ สามารถเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ช่วยป้องกันความหย่อนคล้อยของผิวในอนาคต เหมาะกับผู้ที่กลัวเข็มและเหมาะเป็นพิเศษกับผู้ที่ผิวหย่อนคล้อยไม่มาก มีผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 1 ปี
6. Ulthera
Ulthera เป็นวิธีลดเหนียงทางการแพทย์ที่จะยิงคลื่นความถี่สูงแบบเฉพาะเจาะจง (Focused Ultrasound) เข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว SMAS (Superficial Musculo Aponeurotic System) ซึ่งจะมีหลักการทำงานที่คล้ายกับการทำไฮฟู่ แต่จะก่อให้เกิดความร้อนที่ชั้นผิวสูงกว่า ถือเป็นวิธีลดเหนียงสำหรับผู้ที่มีปัญหาเหนียงที่เกิดจากผิวหนังหย่อนคล้อย
ข้อดีคือสามารถช่วยกระชับผิว ปรับใบหน้าให้ดูเรียวและเห็นกรอบหน้าที่ชัดเจนขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัด เห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วหลังทำ แต่ข้อเสียคือเป็นหัตถการที่ค่อนข้างเจ็บและจะมีราคาที่สูงกว่าการทำไฮฟู่ นอกจากนี้ ในบางรายอาจเกิดรอยแดงหลังทำ แต่สามารถหายได้เอง
7.Thermage FLX
Thermage FLX คือ วิธีการลดเหนียงที่จะใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงส่งความร้อนลงไปในผิวชั้นบนและชั้นไขมัน เพื่อสลายไขมันส่วนเกิน กระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวดูแน่นและเนียนขึ้น แม้หัตถการนี้จะกระตุ้นผิวแบบวงกว้าง แต่ก็เป็นการกระตุ้นในระดับผิวที่ตื้นกว่าการทำไฮฟู่และ Ulthera
ข้อดีคือเหมาะกับผู้ที่มีไขมันเยอะ ช่วยให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนใน 2 เดือน แต่ข้อเสียคือไม่สามารถทำให้เหนียงหายได้อย่างถาวรและมีราคาที่สูงกว่าการฉีดเมโสแฟต
มีเหนียงเยอะอันตรายหรือไม่ อย่างไร
การมีเหนียง โดยทั่วไปในทางการแพทย์ไม่ได้ส่งเสียต่อสุขภาพ แต่เป็นสิ่งที่อาจทำให้หลายๆ คนขาดความมั่นใจได้ เพราะการมีเหนียงทำให้คางมีสองชั้นจนดูเหมือนคางหมูหรือกรอบหน้าไม่ชัดเจน ทำให้ใบหน้าดูขาดมิติหรือใบหน้าดูใหญ่กว่าปกติได้
แต่ในบางกรณีการมีเหนียงก็อาจเป็นสัญญาณเตือนที่แสดงถึงรอยโรคบางอย่าง ที่เป็นอันตรายและจำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อวินิจฉัย ยกตัวอย่างเช่น
- เหนียงที่เกิดจากกล้ามเนื้อลิ้นหย่อนลงมา อาจทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับได้ โดยวิธีสังเกตให้เริ่มจากการใช้ไม้บรรทัด วางส่วนสันลงบนบริเวณลูกกระเดือกและพาดลงมาที่ปลายคาง และลองใช้นิ้วชี้วางตรงช่องว่างที่เกิดขึ้น หากนิ้วชี้ไม่สามารถผ่านได้ อาจมีภาวะเสี่ยงต่อความผิดปกติดังกล่าว
- เหนียงที่เกิดจากกระดูกอ่อนใต้กล้ามเนื้อลิ้น (Hyoid Bone) อยู่ต่ำ อาจทำให้เกิดการสำลักอาหารเข้าปอดและเกิดการติดเชื้อได้ เพราะกล้ามเนื้อดังกล่าวทำหน้าที่ช่วยในการเปิดปิดของแผ่นปิดกล่องเสียงและป้องกันอาหารลงไปในหลอดลมเวลากลืน วิธีสังเกตคือให้ลองกลืนโดยวางนิ้วทาบลงบริเวณแนวของลูกกระเดือก เพื่อดูว่าลูกกระเดือกสามารถเคลื่อนที่ขึ้นลงได้เป็นปกติหรือไม่ หรือทดสอบระยะเวลากับการกลืน โดยคนปกติจะสามารถกลืนได้มากกว่า 2 ครั้งใน 30 วินาที
เหนียง คือ การที่ร่างกายสะสมไขมันบริเวณใต้คาง ทำให้มองเห็นเป็นคางสองชั้นหรือบางครั้งอาจดูคล้ายคางหมู ทำให้ใบหน้าขาดมิติ ส่งผลเสียต่อความมั่นใจได้ โดยเหนียงเกิดจากหลายปัจจัย เช่น น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ผิวหนังที่หย่อนคล้อย หรือพฤติกรรม ซึ่งวิธีลดเหนียง เพื่อให้ใบหน้าดูเรียวและยิ่งดูเด็กยิ่งขึ้นนั้นมีหลายวิธี เช่น การออกกำลังกาย การฉีดเมโสแฟต และการทำไฮฟู่