สิวผด ตุ่มเล็กๆ ที่เป็นมากกว่าสิว ปัญหาผิวที่ไม่ควรมองข้าม
หากจัดลำดับสาเหตุที่ทำให้ผิวมีสัมผัสไม่เรียบเนียน ลำดับแรกคงเป็นอะไรไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ “สิวผด” สิวเม็ดเล็กๆ ที่สร้างความรำคาญใจอันยิ่งใหญ่ให้กับเรา เพราะหลายครั้งที่สิวผดขึ้นมา ก็มักจะขึ้นมาโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว มิหนำซ้ำยังเห่อขึ้นมาเป็นจำนวนมากอีกด้วย
นอกจากสิวผดจะสร้างความรำคาญใจให้กับเราแล้ว สิวผดยังอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าผิวของเรากำลังอ่อนแอและมีอาการแพ้ได้
หากคุณเป็นหนึ่งคนที่กำลังเผชิญกับปัญหาสิวผดอยู่ บทความนี้อาจช่วยคุณได้! เพราะ Better Me Clinic จะพาทุกคนมาเจาะลึกถึงปัญหาสิวผด ตั้งแต่สิวผดคืออะไร? เกิดจากอะไร? มีลักษณะแตกต่างกับสิวอื่นๆ อย่างไร? รวมไปถึงหากต้องการรักษาสิวผดต้องทำอย่างไร? ถ้าพร้อมแล้วก็มาเริ่มกันเลย!
สิวผดคืออะไร? มีลักษณะอย่างไร?
สิวผด (Acne Aestivalis หรือ Mallorca Acne) คือ ตุ่มนูนขนาดเล็ก ราวๆ 1-2 มิลลิเมตร ที่เกิดขึ้นบริเวณใต้ผิวหนังทำให้สังเกตเห็นได้ยาก แต่จะรู้สึกได้เมื่อสัมผัสกับผิวบริเวณดังกล่าว
นอกจากสิวผดจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนขนาดเล็กแล้ว สิวผดยังมักเกิดขึ้นพร้อมกันทีละจำนวนมากๆ ด้วยโดยสิวผดจะมีขนาดที่เท่ากันทั้งหมด และมีทั้งรูปแบบสิวมีหัวรวมถึงสิวไม่มีหัว
ในบางทฤษฎีมีการกล่าวว่า สิวผด ไม่ใช่สิว แต่เป็นผื่นชนิดหนึ่งที่มีสาเหตุมาจากแสงแดด (Polymorphous Light Eruption) เนื่องจากเป็นสิวที่มักไม่มีอาการในตอนเช้า แต่จะเริ่มเห่อตัวขึ้นในตอนบ่าย
ซึ่งนอกจากแสงแดดแล้ว สิวผดยังสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อถูกสภาพแวดล้อมบางอย่างมากระตุ้นด้วย เช่น เหงื่อ หรือฝุ่นละออง เป็นต้น
สิวผดเกิดจากอะไร?
สาเหตุหลักของการเกิดสิวผด คือ แสงแดด และ เชื้อรา P.Ovale เนื่องจากแสงแดดเป็นตัวการสำคัญในการกระตุ้นให้ร่างกายมีการผลิตน้ำมันส่วนเกินหรือซีบัมออกมามากขึ้น ซึ่งซีบัมนับเป็นแหล่งอาหารสำคัญของเชื้อรา P.Ovale ตัวการสำคัญของการเกิดสิวผด
โดยทั่วไปแล้วผิวของเราจะมีเชื้อรา P.Ovale อาศัยอยู่ หากผิวอยู่ในภาวะปกติ เชื้อนี้จะไม่ก่อให้เกิดผลเสียแต่อย่างใด แต่เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายมีการผลิตซีบัมออกมามากผิดปกติ ก็จะทำให้เชื้อ P.Ovale เจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลให้รูขุมขนอักเสบและเกิดเป็นสิวผดนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้เราจึงสามารถสังเกตได้ว่าสิวผดมักเกิดขึ้นในบริเวณที่มีความมันมากกว่าบริเวณอื่นๆ เช่น หน้าผาก จมูก และคาง เป็นต้น ซึ่งนอกจากสาเหตุที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวผดได้ ดังนี้
1. สภาพอากาศที่ร้อนจัด
สภาพอากาศที่ร้อนจัดในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเพียงการเจอแสงแดดจ้าเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการอยู่ในสภาวะที่อากาศไม่ปลอดโปร่ง หายใจไม่สะดวก หรือสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้ร่างกายขับเหงื่อออกมามากกว่าปกติ
เนื่องจากการมีผิวที่อับชื้น เมื่อผิวบริเวณนั้นสัมผัสฝุ่นละออง ก็จะยิ่งทำให้เกิดการสะสมของแบคทีเรียและสิ่งตกค้าง ทำให้รูขุมขนเกิดความระคายเคืองจนเกิดเป็นสิวอักเสบได้
2. ผิวอ่อนแอ
หลังจากเกิดผื่นแพ้อากาศจนทำให้ผิวขึ้นผื่นแดง ผิวแห้ง เกิดการระคายเคือง หรือบางรายอาจมีผิวที่หนาและคล้ำเสีย สามารถนำวิธีฟื้นฟูผิวหลังเกิดผื่นแพ้อากาศที่ Better Me Clinic มาปรับใช้เพื่อมีผิวที่แข็งแรงและดูสุขภาพดีได้เลย
- เติมความชุ่มชื้นให้กับผิว ด้วยการดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอตลอดทั้งวันเพื่อให้ร่างกายชุ่มชื้นจากภายในสู่ภายนอก นอกจากนี้ก็ควรใช้มอยเจอร์ไรเซอร์สูตรอ่อนโยนและปราศจากน้ำหอมเพื่อล็อคความชื้นรวมถึงป้องกันความแห้งกร้าน
- ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสูตรอ่อนโยน ปราศจากน้ำหอม เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือผิวแห้ง เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์รุนแรงสามารถดึงน้ำมันตามธรรมชาติออกจากผิวได้ ส่งผลให้เกิดความแห้งและระคายเคืองมากขึ้น
- หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อน เพราะจะทำให้ผิวแห้งและอาการผื่นแพ้อากาศอาจแย่ลง นอกจากนี้ควรจำกัดเวลาอาบน้ำเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้งมากเกินไป รวมถึงควรทามอยเจอร์ไรเซอร์ทันทีหลังอาบน้ำเพื่อช่วยล็อคความชุ่มชื้นและบำรุงผิวด้วย
- ปกป้องผิวจากสภาพอากาศที่รุนแรง ด้วยการสวมเสื้อผ้าที่เหมาะสม เช่น สวมถุงมือ ผ้าพันคอ และหมวกในช่วงฤดูหนาว ควรเลือกใช้ผ้าน้ำหนักเบาที่ระบายอากาศได้ดีในช่วงฤดูร้อน อย่าลืมทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป เพื่อปกป้องผิวจากรังสียูวีที่เป็นอันตราย
- รับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ รวมถึงอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ เนื่องจากอาหารเหล่านี้ให้สารอาหารที่จำเป็นสำหรับการซ่อมแซมและฟื้นฟูผิว ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารแปรรูปและแอลกอฮอล์มากเกินไป
- นอนหลับให้เพียงพอ ควรนอนอย่างน้อย 8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้มีโอกาสซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ฟื้นฟูร่างกายและผิวให้กลับมามีสุขภาพที่แข็งแรง
3. พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
บางพฤติกรรมที่คุณเคยชิน อาจเป็นตัวการในการเกิดสิวผดได้ เช่น การล้างหน้าบ่อยๆ การล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้จะทำให้ผิวเสี่ยงระคายเคืองได้ง่ายและยังทำให้ต่อมไขมันทำงานผิดปกติด้วย
นอกจากนี้แล้ว การใส่แมสก์เป็นเวลานานหรือการใช้มือที่ไม่สะอาดมาสัมผัสกับใบหน้าก็สามารถทำให้เกิดสิวผดได้เช่นกัน
บริเวณที่มักเกิดสิวผด
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าสิวผดมักเกิดขึ้นในบริเวณที่มีความมันมากกว่าบริเวณอื่นๆ โดยเราสามารถพบสิวผดได้บ่อยในบริเวณต่างๆ ดังนี้
- สิวผดบริเวณหน้าผาก นอกจากบริเวณนี้จะมีการผลิตน้ำมันมากกว่าบริเวณอื่นๆ แล้ว ในคนที่มีผมปรกหน้าก็อาจจะยิ่งมีการสะสมของเชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรกต่างๆ มากขึ้น โดยจะสะสมบนไรผม ก่อนไหลลงมาบริเวณหน้าผาก และกลายเป็นสิวผดนั่นเอง
- สิวผดที่แก้ม เกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่ส่วนมากมักเกิดขึ้นจากการที่เราใช้มือที่ไม่สะอาดไปสัมผัสบริเวณแก้มบ่อยๆ รวมทั้งการใส่แมสก์เป็นเวลานานก็อาจทำให้บริเวณใต้แมสก์เกิดความอับชื้นจนเกิดเป็นสิวผดได้
- สิวผดที่คาง มักเกิดจากสาเหตุเดียวกันกับสิวผดที่แก้ม คือการใช้มือที่ไม่สะอาดมาเท้าคางบ่อยๆ รวมถึงการใส่แมสก์เป็นเวลานาน
- สิวผดที่หน้าอก สิวผดในบริเวณนี้เกิดจากการที่ผิวบริเวณหน้าอกโดนเสื้อผ้าเสียดสีกับผิวอยู่ตลอดเวลา รวมถึงในผู้ที่แต่งกายแนบเนื้อก็อาจทำให้มีการสะสมเหงื่อบริเวณเนื้อผ้าจนทำให้เกิดการระคายเคืองและเกิดเป็นสิวผดได้
- สิวผดที่หลัง นอกจากบริเวณใบหน้าแล้ว บริเวณแผ่นหลังก็สามารถเกิดสิวผดได้เช่นกัน เนื่องจากเสื้อผ้าบางชนิดอาจมีเนื้อผ้าที่ไม่ระบายอากาศและทำให้เสื้อผ้าอับชื้น เมื่อมีเหงื่อสะสมก็เลยทำให้เกิดเป็นสิวผดได้ในที่สุด โดยสิวประเภทนี้มักพบมากในผู้ที่เล่นกีฬา
สิวผดกับสิวอุดตันแตกต่างกันอย่างไร?
สิวผดและสิวอุดตัน ดูจากภายนอกอาจมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน แต่แท้จริงแล้วสิวสองชนิดนี้มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
โดยสิวผดจะไม่ใช่สิวอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นผื่นชนิดหนึ่งที่เกิดจากการกระตุ้นของสิ่งแวดล้อมภายนอกและเชื้อรา P.Ovale ที่ทำให้เกิดการอักเสบบริเวณรูขุมขนและทำงานผิดปกติ โดยสิวผดจะไม่สามารถกดออกได้ แต่ผดจะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อสภาพอากาศดีขึ้น
ในขณะที่สิวอุดตันเกิดจากการรวมกันของน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้าร่วมกับแบคทีเรียและสิ่งตกค้างต่างๆ จนทำให้เกิดการอุดตันขึ้นที่รูขุมขน โดยสิวอุดตันจะมีลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆ มีทั้งแบบมีหัวและไม่มีหัว เมื่อเป็นแล้วจะไม่เกิดอาการคันใดๆ สามารถพบได้ทั่วใบหน้าและสารถพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อกดสิวออกได้
สิวผดกี่วันหาย?
สิวผดที่เกิดจากการระคายเคืองแบบชั่วคราวสามารถหายได้เองภายใน 1-2 วัน แต่ถ้าหากเป็นสิวผดที่เกิดจากเชื้อราทำงานผิดปกติ อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการใช้ยาติดต่อกันนาน 1-2 เดือน
ส่วนใครเป็นสิวผดที่เกิดขึ้นจากการแพ้สารเคมี เช่น ครีมนวดผม อาจจะต้องใช้เวลานาน 3-6 เดือน ในการรักษา ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลของแต่ละบุคคลด้วย
ถึงแม้ว่าการรักษาสิวผดนั้นดูเหมือนจะใช้เวลานานกว่าที่คิด แต่การรักษาสิวผดอย่างถูกวิธีก็จะช่วยลดการเกิดปัญหาสิวผดซ้ำซากและลดความรุนแรงที่สิวผดจะพัฒนาไปเป็นสิวชนิดอื่นๆ ได้
วิธีการรักษาสิวผด
หลายคนมักคิดว่าการรักษาสิวผดสามารถใช้วิธีเดียวกันกับการรักษาสิวชนิดอื่นๆ ได้ แต่แท้จริงแล้วการรักษาสิวผดควรเน้นบำรุงให้ผิวมีเกราะป้องกันที่แข็งแรงรวมถึงการจัดการกับเชื้อรา P.Ovale ให้อยู่ในสภาพสมดุล ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
1. การรักษาสิวผดด้วยยา
การรักษาสิวผดด้วยยา มักใช้ยาภายนอกในการรักษา เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา P.Ovale ที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิวผด ซึ่งวิธีนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากทำได้ง่ายและเกิดผลข้างเคียงน้อย โดยยาที่นิยมใช้มีดังนี้
- ยาที่มีส่วนผสมของ Retinoid เรตินอยด์มีคุณสมบัติสำคัญในการช่วยฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพจากแสงแดด รวมถึงช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์อีลาสตินและคอลลาเจน ทำให้ผิวแข็งแรง ดูกระชับ และช่วยให้ริ้วรอยจางลงเมื่อใช้เรตินอยด์อย่างต่อเนื่อง แต่การใช้ยาชนิดนี้จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
- ยาที่มีส่วนผสมของ Ketoconazole เป็นยาที่มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อรา โดยตัวยาจะเข้าไปยับยั้งการสังเคราะห์อาหารของเชื้อรา ทำให้เชื้อราขาดสารอาหารจนหยุดการเจริญเติบโตและทำให้ผิวกลับมามีสภาวะที่สมดุล แต่การใช้ยาชนิดนี้จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
- ยาที่มีส่วนผสมของ Zinc เนื่องจาก Zinc มีฤทธิ์เป็นยาปฏิชีวนะอ่อนๆ จึงสามารถช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ในการช่วยยับยั้งการผลิตซีบัม ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดสิวได้อีกด้วย
- ยากลุ่มสเตียรอยด์ วิธีนี้จะใช้ในผู้ที่มีสิวผดร่วมกับอาการคันเท่านั้น เนื่องจากยากลุ่มนี้มีฤทธิ์ช่วยรักษาอาการคันได้ดี รวมทั้งยังช่วยลดจำนวนสิวลงได้อย่างรวดเร็ว แต่การใช้ยาชนิดนี้จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
2. การรักษาสิวผดด้วยวิธีทางการแพทย์
การรักษาสิวผดด้วยวิธีทางการแพทย์ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงมีวิธีให้เลือกอย่างหลากหลายและตอบโจทย์ทุกสภาพผิว ซึ่งวิธีการรักษาสิวผดด้วยวิธีการทางการแพทย์ มีดังนี้
- การรักษาสิวผดด้วยเลเซอร์ เป็นการใช้แสงเลเซอร์เข้าไปเปิดหัวสิวและกำจัดสิ่งอุดตันที่อยู่ใต้ผิวออก ทำให้วิธีนี้สามารถรักษาได้เฉพาะสิวผดที่มีหัวเท่านั้น ข้อดีของการรักษาสิวผดด้วยวิธีนี้ คือ สามารถเลือกจุดที่ต้องการแก้ปัญหาได้อย่างแม่นยำ รวมทั้งช่วยให้ผิวหลังทำดูกระชับขึ้นอีกด้วย
- การฉายแสงบำบัด เป็นการใช้แสง LED ที่มีความเข้มข้นสูงมาช่วยกระตุ้นฟื้นฟูผิว โดยการรักษาสิวผดนิยมใช้แสงสีฟ้า เนื่องจากมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียและช่วยยับยั้งการทำงานของต่อมไขมัน โดยที่ Better Me Clinic เรามีโปรแกรม Acne Treatment ทรีตเมนต์ที่นอกจะช่วยฟื้นฟูผิวแล้ว ยังมาพร้อมกับการฉายแสงเพื่อแก้ปัญหาสิวโดยเฉพาะ!
- การฉีดเมโสหน้าใส เป็นการฉีดสารบำรุงผิวต่างๆ ลงไปในผิวชั้นกลาง ช่วยให้เกราะป้องกันผิวแข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งถ้าหากต้องการรักษาสิวผด Better Me Clinic ขอแนะนำการฉีดมาเด้คอลลาเจน เพราะนอกจากจะบำรุงผิวแล้ว มาเด้คอลลาเจนยังมีฤทธิ์ในการขับสารพิษและของเสียออก ทำให้นอกจากจะลดจำนวนสิวผดที่เป็นอยู่แล้ว ยังช่วยลดโอกาสที่จะเกิดปัญหาสิวซ้ำซากได้ด้วย
สกินแคร์ที่เหมาะสำหรับผู้เป็นสิวผด
ส่วนใหญ่ผู้ที่เป็นสิวผดจะมีเกราะป้องกันผิวที่อ่อนแอ ทำให้มีผิวแพ้ง่าย ดังนั้นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นสิวผดควรจะต้องมีความอ่อนโยนสูง มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง รวมถึงช่วยลดความมันบนใบหน้าด้วย
โดยการเลือกสกินแคร์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นสิวผด ควรดูจากส่วนประกอบต่างๆ ดังนี้
- กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) เป็นสารที่ร่างกายสามารถผลิตได้เอง มีหน้าที่ในการกักเก็บความชุ่มชื่นให้กับผิว การใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมนี้จึงทำให้ผิวแข็งแรง เกิดสิวผดน้อยลง รวมถึงการที่มีส่วนผสมนี้ในสกินแคร์ก็จะช่วยให้สารตัวอื่นๆ ซึมลงสู่เซลล์ผิวได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
- สารเปปไทด์ (Peptide) มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดดและมลภาวะ ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น รวมทั้งยังช่วยให้ผิวเรียบเนียน แลดูกระชับอีกด้วย
- สารเซราไมด์ (Ceremide) เป็นน้ำมันที่พบได้ในผิวของเราตามธรรมชาติ มีคุณสมบัติในการรักษาความชุ่มชื่นให้กับผิว และเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย
วิธีป้องกันการเกิดสิวผด
1. ทำความสะอาดหน้าอย่างถูกวิธี
เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยนต่อผิว ช่วยลดความมันบนใบหน้าโดยไม่ทำให้ผิวหน้าเสียสมดุล และควรล้างหน้าด้วยน้ำอุณหภูมิห้อง ราว 2-3 ครั้งต่อวัน เนื่องจากการล้างหน้าบ่อยเกินไปจะทำให้เกิดสิวผดได้ รวมทั้งควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวแรงๆ เพราะอาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง
2. งดการแคะ แกะ เกา สัมผัสบริเวณที่เป็นสิว
หลายต่อหลายครั้งที่เรามักเผลอใช้มือที่ไม่สะอาดไปจับบริเวณใบหน้า การกระทำเช่นนี้จะทำให้สิ่งสกปรกที่สะสมอยู่บนมือมาตลอดทั้งวันไปสะสมอยู่บริเวณใบหน้าแทน ซึ่งจะยิ่งเป็นการกระตุ้นให้เกิดสิวและพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบได้ในที่สุด
3. หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดด
ตามที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่าแสงแดดนับเป็นตัวการสำคัญของการเกิดสิวผด ดังนั้นการเผชิญแสงแดดลดลงก็จะทำให้โอกาสในการเกิดสิวผดลดลงไปด้วย แต่ถ้าหากจำเป็นต้องออกไปในพื้นที่กลางแจ้งก็อย่าลืมทาครีมกันแดดที่มี SPF 50 PA+++ รวมถึงควรกางร่มหรือสวมหมวกปีกกว้างเพื่อป้องกันแสงยูวี
4. บำรุงผิวให้แข็งแรงอยู่เสมอ
สิวผดเป็นสิวที่เกิดจากสภาพผิวที่อ่อนแอ ดังนั้นหากหมั่นดูแลและเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว ก็จะช่วยลดโอกาสในการเกิดสิวผดได้ โดยการบำรุงผิวให้แข็งแรงก็สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การเลือกใช้สกินแคร์ที่เหมาะกับผิว การฉีดเมโสหน้าใส และการทำทรีตเมนต์หน้า เป็นต้น
รักษาสิวผดที่ไหนดี?
โดยปกติแล้วสิวผดสามารถหายได้เองหากหลีกเลี่ยงพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมที่ทำให้เกิดสิว แต่หากมีสิวผดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมแล้วก็ยังไม่มีท่าทีที่จะดีขึ้น Better Me Clinic ขอแนะนำให้เข้ามาปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสอบสภาพผิวและทำการรักษาอย่างถูกวิธี
ซึ่งถ้าหากคุณเป็นหนึ่งคนที่กำลังต้องการรักษาสิวผด ให้ Better Me Clinic by Dr. Chanya เป็นหนึ่งในผู้ช่วยของคุณ เพราะเรามีบริการรักษาสิวให้เลือกอย่างหลากหลาย ทุกบริการเราให้บริการโดยแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น
หากยังไม่มั่นใจว่าควรเลือกรักษาสิวด้วยวิธีใด สามารถติดต่อเข้ามาเพื่อให้คุณหมอประเมินสภาพผิวและแนะนำหัตถการที่เหมาะสมแบบเคสบายเคสได้เลย หากสนใจ สามารถติดต่อนัดหมายได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-059-8118, 088-603-2641 หรือไลน์ @bettermeclinic ปรึกษาคุณหมอฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย รับรองว่าคุณจะมีผิวสวยๆ กลับบ้านไปอย่างแน่นอน!
- Better Me Clinic, เมโสหน้าใส คืออะไร? ฉีดแล้วผิวดูสวยกระจ่างใสจริงหรือไม่? (https://bettermeclinicofficial.com/aesthetic/skin-brightening/face-brightening/), 3 มกราคม 2567.
- Eucerin, 6 วิธีรักษาสิวผด สิวผดขึ้นหน้าเพราะเกิดจากผิวอ่อนแอ แก้ปัญหาสิวผดให้เรียบเนียน (https://www.eucerin.co.th/skin-concerns/sensitive-skin/acne_estivalis), 3 มกราคม 2567.
- Vogue Beauty, ทำไมส่วนผสมเติมความชุ่มชื่นอย่าง Hyaluronic Acid ถึงสำคัญในสกินแคร์รูทีน (https://vogue.co.th/beauty/skin_care/face/article/gettoknowhyaluronicacid), 3 มกราคม 2567.
- เภสัชกร สุรศักดิ์ วิชัยโย, สิวเชื้อราและการรักษา(https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/272/การรักษาสิว-สิวเชื้อรา/), 3 มกราคม 2567.
- โรงพยาบาลพญาไท, บำบัดผิวด้วยการฉายแสง LED ดีอย่างไร เหมาะกับใคร ทำกี่ครั้งจึงเห็นผล?
- (https://www.phyathai.com/th/article/3846-บำบัดผิวด้วยการฉายแสง), 3 มกราคม 2567.