fbpx

🔥FREE! Schedule a 3D Facial Design consultation with Dr.Chanya only this month 🇺🇸 🇰🇷 🔥

6 วิธีลบรอยแผลเป็น กู้คืนผิวสม่ำเสมอ

6 วิธีลบรอยแผลเป็น กู้คืนผิวสม่ำเสมอ
6 วิธีลบรอยแผลเป็น กู้คืนผิวสม่ำเสมอ

“รอยแผลเป็น” หนึ่งในปัญหาผิวที่หลายคนอยากลบเลือนให้หายไป ไม่ว่าจะเกิดจากอุบัติเหตุ การผ่าตัด หรือแม้แต่รอยแผลเป็นจากสิว ซึ่งรอยเหล่านี้มักสร้างความไม่มั่นใจและทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียน

แต่ในปัจจุบันมีหลากหลายวิธีที่ช่วยลบรอยแผลเป็นให้จางลงและช่วยกู้คืนผิวที่สม่ำเสมอกลับมาได้อีกครั้ง ในบทความนี้ Better Me Clinic ได้รวบรวม 6 วิธีลบรอยแผลเป็นที่ได้รับความนิยมและให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมาให้แล้ว มาดูกันว่าคุณเหมาะกับวิธีไหนที่สุด!

รอยแผลเป็นคืออะไร เกิดจากสาเหตุใด?

รอยแผลเป็น (Scar) คือ ร่องรอยที่เกิดขึ้นบนผิวหนังหลังจากได้รับบาดเจ็บและผ่านกระบวนการซ่อมแซมตัวเองตามธรรมชาติของร่างกาย ไม่ว่าจะเกิดจากบาดแผล การผ่าตัด การอักเสบ หรืออุบัติเหตุต่าง ๆ 

เมื่อผิวหนังชั้นหนังแท้ถูกทำลาย ร่างกายจะตอบสนองด้วยการผลิตคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใหม่เพื่อปิดแผลและฟื้นฟูผิวบริเวณที่เสียหาย โดยเนื้อเยื่อใหม่ที่เกิดขึ้นมักจะมีลักษณะที่แตกต่างไปจากผิวเดิม เช่น นูนขึ้น, ยุบลง หรือมีสีที่ไม่สม่ำเสมอ เนื่องจากการจัดเรียงตัวของคอลลาเจนไม่เป็นระเบียบหรือมีปริมาณที่มากเกินไป 

นอกจากนี้ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดรอยแผลเป็นยังรวมถึงลักษณะของแผล การดูแลหลังเกิดแผล รวมถึงสภาพผิวและพันธุกรรมของแต่ละคนด้วย

รอยแผลเป็นมีกี่ประเภท?

รอยแผลเป็นมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะมีลักษณะและสาเหตุการเกิดที่แตกต่างกันไป โดยทั่วไปแล้ว รอยแผลเป็นสามารถแบ่งได้เป็น 5 ประเภท ดังนี้

1. รอยแผลเป็นจากสิว

รอยแผลเป็นจากสิว คือ ร่องรอยความเสียหายบนผิวหนังที่เกิดขึ้นหลังจากสิวหาย ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเมื่อชั้นผิวหนังได้รับความเสียหายระหว่างการอักเสบของสิวโดยเฉพาะสิวที่อักเสบลึก เช่น สิวไตหรือสิวหัวช้าง

โดยรอยแผลเป็นจากสิวนั้นยังสามารถแบ่งออกได้เป็นอีก 2 ประเภท ดังนี้

  • แผลเป็นหลุมสิว: แผลเป็นหลุมสิวมีลักษณะเป็นรอยบุ๋มลงไปในผิว เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถผลิตคอลลาเจนขึ้นมาสมานรอยแผลของผิวชั้นนอกได้ทั้งหมด หรือในบางรายอาจมีพังผืดที่ดึงรั้งผิวด้านบนร่วมด้วย โดยความลึกของหลุมสิวจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสิวขณะที่มีการอักเสบ
  • แผลเป็นนูนจากสิว: แผลเป็นนูนจากสิวเกิดจากการที่ร่างกายสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนมากเกินไประหว่างการซ่อมแซมผิวหลังสิวหาย ทำให้เกิดรอยแผลเป็นนูนที่มีลักษณะแตกต่างกันไป มักพบได้ในบริเวณที่เกิดสิวรุนแรงหรือมีบาดแผล

2. รอยแผลเป็นจากการผ่าตัด

รอยแผลเป็นจากการผ่าตัด คือ รอยแผลที่เกิดจากการซ่อมแซมเนื้อเยื่อหลังผ่าตัดหรือทำหัตถการทางการแพทย์ โดยรอยแผลประเภทนี้มักจะมีลักษณะเป็นเส้นตรงหรือโค้งตามแนวที่แพทย์กรีดหรือเย็บแผล ซึ่งอาจมีขนาดและความลึกที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับขนาดของแผลและตำแหน่งในการผ่าตัด

ในระยะแรกหลังผ่าตัด รอยแผลเป็นอาจมีสีแดงหรือชมพูและอาจรู้สึกตึง ๆ ได้ระหว่างที่แผลกำลังฟื้นตัว ก่อนที่สีของรอยแผลจะค่อย ๆ จางลงและกลายเป็นสีขาวหรือสีน้ำตาลอ่อน รวมถึงในบางราย แผลเป็นอาจนูนขึ้นมาจากผิวได้เล็กน้อย

การเลือกศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญและการดูแลแผลหลังผ่าตัดที่ถูกวิธีจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็นและลบรอยแผลเป็นหลังจากนั้นได้ง่าย

3. รอยแผลเป็นนูน

รอยแผลเป็นนูน (Hypertrophic Scars) เกิดจากการที่ร่างกายสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนมากเกินไประหว่างการซ่อมแซมผิวจนทำให้เกิดรอยนูนขึ้นบนผิวหนัง แผลเป็นนูนมักจะพบได้ในบริเวณที่มีแผลขนาดใหญ่หรือแผลติดเชื้อ รวมถึงบริเวณที่มีการตึงของผิวหนังมาก เช่น ข้อต่อหรือตำแหน่งที่มีการเคลื่อนไหว โดยจะเกิดขึ้นภายในขอบเขตของแผลเดิมและมีอาการแดงหรือคันร่วมด้วย

4. รอยแผลเป็นคีลอยด์

รอยแผลเป็นคีลอยด์ (Keloid Scars) เป็นรอยแผลเป็นนูนประเภทหนึ่งที่เกิดจากการผลิตคอลลาเจนมากเกินไปเหมือนกับรอยแผลเป็นนูนทั่วไป แต่แผลเป็นคีลอยด์มักจะมีลักษณะนูนแข็ง มีสีแดงเข้มหรือสีม่วง มีขนาดใหญ่กว่าขอบเขตของแผลเดิม และมักจะเกิดอาการคันหรือเจ็บร่วมด้วย

โดยแผลเป็นคีลอยด์จะมีความรุนแรงมากกว่าแผลเป็นนูนธรรมดา พบได้มากในบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวบ่อย ๆ รวมถึงผู้ที่มีพันธุกรรมไวต่อการเกิดคีลอยด์

5. รอยแผลเป็นจากการถูกไฟลวก

รอยแผลเป็นจากการถูกไฟลวก (Burn Scar) ​​เกิดจากการที่ผิวหนังได้รับความเสียหายจากความร้อน เช่น ไฟไหม้, น้ำร้อนลวก หรือสารเคมี ส่งผลให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนเพื่อซ่อมแซมผิวบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ 

โดยลักษณะของรอยแผลเป็นจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของแผลไฟลวก อาจมีตั้งแต่รอยแดงที่หายเองได้ ไปจนถึงรอยนูนหนา ผิวหดรั้ง หรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ หากรอยแผลเป็นลึกและไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม ก็อาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวและความมั่นใจในชีวิตประจำวันได้

ปรึกษาหมอชัญญาโดยตรง
ปรึกษาหมอชัญญาโดยตรง

วิธีลบรอยแผลเป็น

การลบรอยแผลเป็นสามารถทำได้หลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับประเภทของรอยแผลเป็น ลักษณะ และความรุนแรงของแผล โดยวิธีลบรอยแผลเป็นหรือการรักษาแผลเป็นที่ Better Me Clinic แนะนำมีดังนี้

1. รักษาด้วยยาทาลบรอยแผลเป็น

การใช้ยาทาเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมในการลดเลือนรอยแผลเป็น เนื่องจากเป็นวิธีที่สะดวกและสามารถทำได้เองที่บ้าน แต่การใช้ยาทาลบรอยแผลเป็นให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีนั้นควรใช้อย่างสม่ำเสมอและควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบ ดังนี้

  • กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid): มีคุณสมบัติในการช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำและเรียบเนียนขึ้น เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นทุกประเภทที่แห้งกร้านหรือขาดความชุ่มชื้น
  • เปปไทด์ (Peptides): จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินออกมามากขึ้น ส่งผลให้ผิวมีความแข็งแรงและยืดหยุ่นขึ้น เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นรอยบุ๋ม
  • วิตามินเอ: เป็นสารที่มีประโยชน์หลากหลาย ทั้งช่วยเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน รวมถึงช่วยให้ผิวยืดหยุ่น ไปพร้อม ๆ กับการลดเลือนรอยแผลเป็น โดยวิตามินเอจะเหมาะสำหรับการรักษารอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว รอยดำ หรือรอยแดง
  • วิตามินบี3 (Niacinamide): มีฤทธิ์ในการลดการอักเสบของผิว ลดรอยแดง ลดเม็ดสีเมลานิน และช่วยทำให้ผิวสว่างใสขึ้น เหมาะสำหรับการรักษารอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว รอยแดง รอยดำ หรือรอยแผลเป็นที่ต้องการลดการอักเสบ เช่น รอยแผลเป็นจากการถูกไฟลวก และรอยแผลจากการผ่าตัด
  • ครีมหรือเจลที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ: เช่น หัวหอมหรือใบบัวบก เนื่องจากสารเหล่านี้มีฤทธิ์ในการลดการอักเสบ ลดความนูนของรอยแผลเป็น และช่วยให้รอยแผลดูจางลง เหมาะสำหรับการลบรอยแผลเป็นทุกประเภท โดยเฉพาะรอยแผลเป็นนูน

นอกจากนี้ ในกระบวนการรักษารอยแผลเป็นก็ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองด้วย เช่น น้ำหอมหรือแอลกอฮอล์ รวมถึงถ้าหากมีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่หรือมีลักษณะที่รุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาทา

2. ใช้แผ่นซิลิโคนปิดแผล

แผ่นซิลิโคนปิดแผล (Silicone Sheets) เป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมในการรักษาและป้องกันรอยแผลเป็น โดยเฉพาะแผลเป็นนูนและแผลคีลอยด์ ซึ่งแผ่นซิลิโคนปิดแผลจะทำมาจากวัสดุซิลิโคนเกรดทางการแพทย์ที่ออกแบบเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง ควบคุมการสร้างคอลลาเจน รวมถึงช่วยกดทับแผลและลดแรงดึงรั้งที่อาจทำให้แผลขยายใหญ่ขึ้น เมื่อใช้อย่างต่อเนื่องจะช่วยลดรอยแดงและปรับผิวให้เรียบเนียนมากขึ้นได้

3. การเลเซอร์แผลเป็น

การเลเซอร์แผลเป็น เป็นวิธีลบรอยแผลเป็นด้วยการใช้พลังงานแสงจากเครื่องเลเซอร์ยิงเข้าสู่ชั้นผิวหนัง เพื่อกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูผิว กำจัดเม็ดสีที่สะสมในผิวหนัง เร่งการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้รอยแผลเป็นดูจางลง ผิวเรียบเนียนและกลมกลืนกับผิวรอบข้างมากขึ้น

ในบางกรณี อาจมีการใช้แสงเลเซอร์เข้าไปตัดเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงบริเวณรอยแผลเป็นที่มีการอักเสบ ทำให้รอยแดงบนแผลเป็นดูจางลงและลดโอกาสที่แผลจะนูนและมีขนาดใหญ่ขึ้นด้วย

การใช้เลเซอร์จึงสามารถรักษาแผลเป็นได้ทุกประเภท เพียงแต่จะต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ในการปรับระดับพลังงานให้เหมาะสม รวมถึงควรเข้ารับบริการอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้เห็นผลลัพธ์หลังทำได้อย่างชัดเจน

4. การฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์

การฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroid Injections) เป็นวิธีการรักษารอยแผลเป็นที่เหมาะสำหรับแผลเป็นนูนและแผลคีลอยด์ โดยวิธีนี้แพทย์จะใช้ยาประเภทสเตียรอยด์ฉีดเข้าไปในชั้นผิวหนัง เพื่อช่วยลดการอักเสบ ยับยั้งการสร้างคอลลาเจนส่วนเกิน รวมถึงทำให้แผลเป็นนุ่มและเรียบเนียนมากขึ้น

แต่ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์การลบรอยแผลเป็นที่มีประสิทธิภาพ การฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์ควรฉีดหลังเกิดแผลเป็นไม่เกิน 1 ปี และควรฉีดเดือนละ 1 ครั้ง ติดต่อกันประมาณ 4-5 ครั้ง

5. การฉีดสารเติมเต็ม

การฉีดสารเติมเต็มหรือที่รู้จักกันว่า “โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์” เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยปรับผิวให้เรียบเนียนและลบรอยแผลเป็นให้ดูจางลงได้ โดยเฉพาะรอยแผลเป็นจากสิวหรือรอยบุ๋มบนใบหน้า ซึ่งหลังจากฉีดสารเติมเต็มไปแล้ว ตัวยาจะจับกับน้ำและทำให้สารเติมเต็มมีลักษณะคล้ายเจล ส่งผลให้บริเวณที่ฉีดดูเรียบเนียนและอิ่มฟูมากขึ้น

6. การผ่าตัดลบรอยแผลเป็น

การผ่าตัดลบรอยแผลเป็น เป็นการรักษาที่ใช้เทคนิคการผ่าตัดเข้ามาร่วมด้วยเพื่อปรับปรุงลักษณะของรอยแผลเป็น โดยแพทย์อาจเลือกตัดรอยแผลเป็นทั้งหมดหรือแผลเป็นบางส่วนออกแล้วเย็บปิดแผลใหม่ ส่งผลให้แผลเป็นดูสม่ำเสมอกับผิวรอบข้างมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาแผลเป็นนูนและแผลเป็นคีลอยด์

อย่างไรก็ตาม การลบรอยแผลเป็นด้วยการผ่าตัดจำเป็นที่จะต้องทำร่วมกับวิธีอื่น ๆ เช่น การใช้แผ่นซิลิโคนปิดแผลหรือการฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์ เนื่องจากรอยแผลเป็นอาจไม่ได้หายไปทั้งหมด การทำร่วมกับวิธีอื่น ๆ จะช่วยให้รอยแผลเป็นดูเรียบเนียนไปกับผิวมากขึ้น

วิธีป้องกันการเกิดรอยแผลเป็น

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดรอยแผลเป็นที่ดีที่สุดคือการระมัดระวังไม่ให้ร่างกายเกิดแผล เนื่องจากเมื่อร่างกายเกิดแผลแล้ว หากเราดูแลแผลไม่ถูกวิธีก็อาจส่งผลให้แผลหายช้าและก่อให้เกิดเป็นรอยแผลเป็นได้

แต่ถ้าหากไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะมีแผลได้ ในระยะแรกหลังการเกิดแผล Better Me Clinic แนะนำให้รักษาความสะอาดของแผลอยู่เสมอ ควรล้างแผลด้วยน้ำเกลือหรือน้ำยาฆ่าเชื้อ รวมถึงหลีกเลี่ยงการแกะเกาหรือแคะสะเก็ดแผลด้วย

และเมื่อแผลเริ่มมีอาการที่ดีขึ้นหรือแผลอยู่ในช่วงระยะเวลาประมาณ 3-6 เดือนแรก การนวดแผลเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดการขยายตัวและลดโอกาสการเกิดแผลเป็นนูนได้

แต่ถ้าหากรอยแผลเป็นมีขนาดใหญ่หรือรักษาด้วยตัวเองได้ยาก การเข้าพบแพทย์อาจเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากแพทย์จะช่วยให้คำแนะนำและหาวิธีการรักษาที่เหมาะสม ทำให้เราสามารถลบรอยแผลเป็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คำถามที่พบบ่อย

1. รอยแผลเป็นหายเองได้ไหม?

รอยแผลเป็นส่วนใหญ่ไม่สามารถหายไปได้เองทั้งหมด เนื่องจากเป็นร่องรอยที่เกิดจากกระบวนการซ่อมแซมผิวหนังตามธรรมชาติของร่างกาย ถึงแม้ว่าบางรอย เช่น รอยแดงหรือรอยดำที่เกิดจากสิว อาจจางลงได้เมื่อเวลาผ่านไป แต่รอยแผลเป็นที่ลึกหรือเกิดจากการบาดเจ็บรุนแรงมักจะคงอยู่ถาวร 

อย่างไรก็ตาม ลักษณะของรอยแผลเป็นอาจดูดีขึ้นได้ด้วยการดูแลที่เหมาะสม เช่น การทาครีมบำรุงผิว, การใช้ยาลดรอยแผลเป็น หรือการเลเซอร์รอยแผลเป็น แต่ทั้งนี้ การหายของรอยแผลเป็นก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นประเภทของแผล ความลึกของการบาดเจ็บ และลักษณะผิวของแต่ละคน

2. รอยแผลเป็นมีโอกาสกลับมาหลังจากรักษาไปแล้วได้หรือไม่?

รอยแผลเป็นมีโอกาสที่จะกลับมาได้อีกครั้งหลังจากรักษาไปแล้ว โดยเฉพาะแผลเป็นคีลอยด์หรือแผลเป็นนูนที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นจากพันธุกรรมและการตอบสนองผิดปกติของร่างกาย

ถึงแม้การรักษาจะช่วยลดความเด่นชัดของแผลเป็นได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็อาจมีปัจจัยบางอย่างที่กระตุ้นให้เกิดแผลเป็นซ้ำได้

สรุปเกี่ยวกับการลบรอยแผลเป็น

รอยแผลเป็น หนึ่งในปัญหาผิวกวนใจที่หายเองได้ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถหายไปได้ เนื่องจากปัจจุบันมีวิธีการต่าง ๆ มากมายที่ช่วยลบรอยแผลเป็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้ครีมทารอยแผลเป็น, การทำเลเซอร์แผลเป็น, การฉีดยา หรือการผ่าตัด

แต่ทั้งนี้ การเลือกวิธีรักษารอยแผลเป็นต่าง ๆ ให้เหมาะสม ควรเข้ามาพบแพทย์เพื่อประเมินปัญหาและรับคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการรักษาที่ถูกต้อง หากต้องการปรึกษาแพทย์เพื่อลบรอยแผลเป็น สามารถติดต่อเข้ามาที่ Better Me Clinic by Dr. Chanya ได้เลย คุณหมอพร้อมประเมินสภาพผิวและแนะนำหัตถการที่เหมาะสมให้แบบเคสบายเคส

สามารถติดต่อนัดหมายได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-059-8118, 088-603-2641 หรือไลน์ @bettermeclinic ปรึกษาคุณหมอฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย รับรองว่าคุณจะมีผิวสวย ๆ กลับบ้านไปอย่างแน่นอน!

  • Scars. (2023, September 18). NHS. https://www.nhs.uk/conditions/scars/ 
  • Scars. (2021, March 15). Cleveland Clinic. https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/11030-scars 
  • แผลเป็น สาเหตุ อาการ การรักษา การป้องกัน ดูแลตัวเอง. (25 พฤศจิกายน 2567). HDmall. https://hdmall.co.th/blog/c/scar-causes-treatment-and-prevention/ 
  • ผศ.พญ.สุภาพร โอภาสานนท์. (21 สิงหาคม 2560). การดูแลรักษาบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก (Burn Management). คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล. https://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=911 
  • นพ.สุเมธ เอื้ออังกานนท. (2556). แผลเป็นและการรักษา (Scar and Management). วารสารแผลไหม้และสมานแผลแห่งประเทศไทย. https://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=911 

เว็บไซต์นี้ มีการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ (Cookies) เพื่อมอบบริการที่ดีที่สุดสำหรับคุณ